000 : ยิ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทำไมเรายิ่งด่าตัวเอง

ยิ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทำไมเรายิ่งด่าตัวเอง

 

ตั้งแต่มี Facebook On this day ผมชอบนั่งย้อนดูสิ่งที่ตัวเองเขียนแล้วหัวเราะเบาๆ หน้า Timeline ที่ผ่านมาในชีวิตมันมีทั้งโพสงี่เง่าที่ไม่เคยจะคิดจะโพสอีกต่อไป โปรโมทเพจให้ตัวเองแบบเห่ยบรรลัย พร่ำเพร้อขอความเห็นใจ ระบายอารมณ์ บ่นบ้าไร้สาระไปเรื่อยๆ

 

อยู่มาวันหนึ่ง ผมลองนั่งไล่อ่านข้อเขียน บทความ เก่าๆ ที่เขียนลง Storylog บ้าง เขียนลงบล็อกบ้าง หรือไปเขียนทิ้งไว้ในที่อื่นๆเมื่อนานมาแล้ว อ่านไปอ่านมายิ่งอมยิ้มให้กับความคิดบางอย่างของตัวเอง

 

“เดี๋ยวนี้คุณหนอมไม่ค่อยเขียนแนวมุ๊งมิ้งเหมือนแต่ก่อนเลยอ่ะ” มิตรสหายท่านหนึ่งที่ติดตามผลงานมานาน มักจะเอ่ยปากแซวอยู่เสมอ

 

ยิ่งได้ยินประโยคแบบนี้ ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า ประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมามันเคี่ยวกรำอะไรบางอย่างให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น และพอเราเข้าใจอะไรมากขึ้น มันจะบอกว่าเราเข้าใจถูก หรือ เราเข้าใจผิด ในสิ่งนั้นๆ

 

“โลกมันโหดร้ายกว่าที่คิดมั้งฮะ” ผมตอบคำถามกลับไป ทั้งที่ในใจกำลังคิดว่า อาจจะไม่ใช่โลกที่โหดร้ายหรอก แต่เราเองนั่นแหละที่กลายเป็นคนตอบโต้โลกนี้ด้วยความโหดร้าย ด้วยประสบการณ์ที่เราพบเจอมาแล้วทึกทักเอาเองว่ามันคือความจริงอันเป็นนิรันดร์

 

“กลวงชิบหาย เขียนห่าอะไรก็ไม่รู้ ดูเหมือนงานโฆษณากระจอกๆ” หนึ่งคอมเม้นท์ที่ผมบันทึกรูปไว้ในโทรศัพท์มือถือ และมันเป็นการความรู้สึกที่เขามีต่อสิ่งที่ผมเขียนออกมาด้วยการกดแชร์ไปด่า แถมด้วยมิตรสหายอีกหลายท่านของเขายังมารุมสับกันซะเละด้วยความคิดเห็นระเกะระกะ

 

ในวันนั้น ผมนึกโมโหในสิ่งที่เขาก่นด่า และนึกสมเพชตัวเองว่าจริงๆแล้วเราก็พัฒนาได้เท่านี้เองหรือ ความเสียใจในวันนั้นทำให้ผมคิดว่าต้องพยายามที่จะเอาชนะมันด้วยการตอบโต้เขา หรือพยายามเปลี่ยนมันให้เป็นพลังต่อให้เราเดินต่อไป

 

…. แต่วันนี้ผมกลับลบรูปนั้นทิ้งไปอย่างไม่ใยดี

 

 

“เอาจริงๆวันนี้ กูรู้สึกขอบคุณพ่อแม่นะ ที่สอนให้กูตั้งใจเรียน ทำงานหนักๆ หางานที่มั่นคงทำ เพราะบางทีแม่มยังดีกว่าความฝันลอยๆ ที่ไม่ได้ห่าอะไรกลับมาเหมือนไอ้พวกกลวงทั้งหลาย” ผมสบถกับมิตรสหายหลายท่านออกมากลางวงสนทนาออนไลน์

 

นึกดูดีๆ แล้วมันคงไม่ใช่เพราะผมรังเกียจเหยียดหยามพวกเขา แต่มันเป็นเพราะผมเองที่เคยอาศัยเงาแบบนั้นหลอกตัวเองไปวันๆ ตอบโต้คนไม่เข้าใจด้วยคำด่า อาละวาดตีฆ้องร้องป่าวว่าคนนั้นไม่ดีเพราะเขาไม่เห็นค่าในสิ่งที่ผมทำ ไปจนถึงอ้อนวอนเหมือนเด็กตาดำๆ ที่บอกคนอื่นว่าถ้าทำในสิ่งที่รักแล้วชีวิตตัวเองยังไม่ดี เพราะเราไม่มีความพยายามมากพอ

 

 

ผมเคยสงสัยว่า ปัญหาทำให้ผมเติบโตขึ้นหรือเปล่า แต่คำตอบคือไม่หรอก ปัญหามันทำให้ผมแย่ลง มันทำให้ผมจมอยู่กับมัน ไปเรื่อยๆ แต่อย่างน้อยปัญหามันทำให้ผมไม่ได้จมและวนเวียนอยู่กับความเชื่อที่คอยหลอกตัวเองไปวันๆ

 

ยิ่งเติบโตขึ้นมากเท่าไร ผมยิ่งรู้สึกว่าปัญหาของเราใหญ่ขึ้นมากเท่านั้น แต่สิ่งที่เราต้องทำกลับไม่ใช่การต่อสู้กับปัญหา ไม่ใช่การเอาชนะแล้วผ่านมันไป เพราะมันมีอะไรในรายละเอียดมากมายกว่านั้น

 

“ยิ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทำไมเรายิ่งด่าตัวเอง” เป็นแวปแรกของความคิดที่เกิดขึ้นมาหลังจากที่ผมใช้เวลากับมัน เพราะสัญลักษณ์ที่แสดงการเติบโตของใครสักคนหนึ่งนั้น ไม่ใช่การที่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่มันควรเป็นการมองผ่านและเห็นข้อผิดพลาดโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาตั้งคำถาม

 

… เพราะนั่นคือความงดงามของการเติบโตที่แท้จริง