004 : อย่าไปคาดหวังกับมิตรแท้ แต่จงแน่ใจว่าใครคือศัตรูถาวร

 

โลกนี้ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร
เป็นประโยคสอนใจเรื่องความสัมพันธ์แบบฮอตฮิต

แต่มองอีกแง่หนึ่งคำๆนี้ อาจจะเป็นคำแสดงจริต
ของอาการไม่ยอมรับความผิดของมนุษย์ก็ได้…

 

ผมมีความเชื่อมั่นแบบโง่ๆว่า “การที่เราไม่มีมิตรแท้นั้น มันคงไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” เพราะคนส่วนใหญ่คงยอมรับเหมือนกันได้ว่า ทุกคนล้วนคิดถึงแต่ตัวเองก่อนเป็นพื้นฐาน แล้วค่อยแบ่งปันความเอื้ออาทรให้กับคนอื่นตามอัธยาศัยและความรู้สึกจากหัวใจที่เบ่งบาน

ถ้าการที่คนเราคิดถึงตัวเองก่อนแล้วค่อยคิดถึงคนอื่นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มันจะแปลกก็ต่อเมื่อเรามีความเชื่อว่า “การให้อะไรคนอื่นนั้นย่อมต้องได้รับอะไรกลับมาให้คุ้มค่ากับการคาดหวัง” 

 

เพราะการ “ให้” ที่หวังจะได้ “รับ” นั้น
มันเหมือนกับการเอาเงินไปลงทุน
มากกว่าผลบุญที่ใครชอบบ่นว่าทำคุณคนไม่ขึ้น

 

คำว่า “โลกนี้ไม่มีมิตรแท้” อาจจะเป็นคำเตือนสติว่า เมื่อเราส่งผ่าน “การให้” ไปยัง “มิตรสหายท่านหนึ่ง” แล้ว อย่าไปคาดหวังที่จะได้อะไรกลับมาอย่างที่เราต้องการ เพราะคนเรานั้นล้วนแตกต่างกัน และการให้นั้นจะได้เกิดขึ้นโดยสมบูรณ์พูนสุขหัวใจอย่างแท้จริง

ในขณะที่คำว่า “ไม่มีศัตรูถาวร” กลายเป็นคำสะท้อนกลับมาว่า เมื่อมีผลประโยชน์แล้ว เราทุกคนสามารถตกลงพูดคุยกันได้ง่ายขึ้น เพราะชิ้นเนื้อที่แบ่งตามสัดส่วนที่เราควรได้รับ ทำให้คนกลับมาส่งยิ้มให้กันและหันหลังกลับไปแสยะรอยยิ้มออกมาเป็นลิ่มเลือด

 

Snap

 

เราใช้ “วาทกรรม” สวยงามมาตอกย้ำความรู้สึกที่ยากจะบรรยายเหล่านี้ ส่วนหนึ่งเพื่อบอกกับตัวเองว่า คนส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ และไม่มีใครหรอกที่จะดีหมดจดสดใส เพราะฉะนั้นอย่าไปสร้างศัตรูให้เกิดการเกลียดชังกันเลยจะดีกว่า

 

เอาน่า.. เผื่อว่าอนาคตอาจจะมี “ผลประโยชน์” ก็ได้
คำปลอบใจกลายๆที่ทำให้เราคล้ายจะเป็นคนที่เข้าใจโลก

 

อีกส่วนหนึ่ง คือ เราอาจจะใช้คำนี้เพื่อให้เรามองตัวเองเป็น “คนดี” จะได้มีการอโหสิกรรมแบ่งปันความสวยงามของจิตใจ เพื่อที่จะได้ไม่อาฆาตมาตรแค้นกับคนที่แห่แหนมาทำลายความรู้สึกไม่ดีที่เรามีและเคยมีต่อเขา สุดท้ายทุกอย่างจะได้บรรเทาไปราวกับย่ำอยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนา อาห์ นี่มันคือความสวยงามของการให้อภัย

แต่การตัดสินที่พร่ำเพร้อมาทั้งหมดของผมอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เพราะคนบางคนอาจจะมีมิตรแท้ได้ง่ายๆ เพียงแค่ถ้าหากเราผู้เป็นคน “ให้” โชคดีโคจรมาเจอกับคนที่ “เห็นคุณค่า” และทั้งคู่ตกลงกันทำทุกอย่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์ฉันท์กัลยานมิตรต่อกันไว้

และถ้าไม่โกหกตัวเองเกินไปนัก เราอาจจะมีคนที่รู้สึก “เกลียด” ชนิดที่ชาตินี้ไม่อยากเผาผี ถึงขั้นอยากจรลีห่างจากมันไปไกลๆ พร้อมกับหยิบยื่นคำสาปแช่งให้ตามความรู้สึกที่ปะทุขึ้นมาเหมือนภูเขาไฟยังไม่ดับบ้างหากมีโอกาส หรืออย่างน้อยกูขอไม่สังคายนาญาติมิตรต่อกันให้ติดกับมึงแน่ๆ ในชาตินี้

 

บางทีโลกนี้ก็มีคนบางคน
ที่เรายินยอมพร้อมใจเรียกเขาว่า “ศัตรู” ได้เต็มปาก

 

ปัญหาที่สุมไฟอยู่ในใจคนเราทุกวันนี้ อาจไม่ใช่เราไม่มีมิตรแท้และไม่มีศัตรูถาวร แต่เป็นเพราะเราอาจจะไม่ค่อยเจอคนที่เห็นคุณค่า และต้องมองหาอะไรมาปลอบประโลมใจเมื่อเจอคนที่มองราวกับเราเป็นหมาที่ส่งยื่นรอยยิ้มต่อกันตลอดเวลา เอาจริงลึกๆ เราคงรู้สึกอยากกรอกยาฆ่าหญ้าให้มันกินวันละสามเวลาก็ตาม

ในแง่หนึ่ง ถ้าเราเกลียดใครสักคน มันคงจะดีถ้าหากเรายิ้มปรี่เข้าไปแล้วกระซิบใกล้ๆหูว่า “กูเกลียดมึง” พร้อมทั้งตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องข้องเกี่ยวกันตลอดชีวิต แต่คิดดีๆ มันก็สุ่มเสี่ยงเหลือเกินกับการที่ชีวิตจะมีปัญหาในอนาคต ยิ่งถ้าหากมีโอกาสดีๆที่ต้องกลับมายิ้มปรี่และทำหน้าลืมเลือนความหลัง หรืออาจจะพังถ้าหากอีกฝ่ายมันเกิดความอาฆาตพยาบาทจนตัดทุกโอกาสในชีวิตเรา

สุดท้าย… สำหรับผมคำว่า “โลกนี้ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร” เป็นได้แค่คำพูดหนึ่งที่เราใช้ตอบตัวเองด้วยเหตุผลดีๆ ซึ่งมันก็ทำให้เรากลายเป็นคนพยายามที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เพื่อให้ความรู้สึกดีๆที่ “มี” คงอยู่ตลอดไป

 

… เพราะอย่างน้อยเราจะได้ไม่เจ็บปวดกับความจริง