008 : หรือว่า “ความหวังดี” คือ เหตุผลที่เราใช้บังคับคนอื่นให้เป็น “ดั่งใจ”

 

หลายครั้งที่ “ความหวังดี” ถูกหยิบยื่นให้.. โดยที่ผู้รับไม่ต้องการ
และบ่อยครั้งที่ “ความหวังดี” ถูกแปรเปลี่ยนเป็นความรำคาญโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

ในฐานะที่เคยเป็นทั้ง “ผู้หวังดี” และ “ผู้รับความหวังดี” ผมมีความเชื่อว่าความหวังดีที่สมบูรณ์นั้น ต้องประกอบด้วย 2 องค์ประกอบสำคัญ คือ “ความต้องการ” และ “เวลาที่เหมาะสม” เมื่อครบทั้ง 2 องค์ประกอบที่ว่านี้ เราควรเอ่ยได้เต็มปากว่านี่แหละมันคือ “ความหวังดี” ที่เป็นของจริง

เพราะถ้าหากความหวังดีที่เรามีให้นั้น ดันขาด “ความต้องการ” ของผู้รับไป ต่อให้เราแสดงความหวังดีมากแค่ไหน ส่วนใหญ่แล้วมักจะสร้างความรำคาญให้เพิ่มขึ้นแทน เหมือนอารมณ์ว่า “คนไม่ใช่ ทำอะไรก็ผิด” หรือบางครั้ง “คนไม่ใช่” คนนี้ อาจถูกแทนที่สรรพนามว่า “ตัวเสือก” ในบางครั้ง

แต่ถึงแม้ผู้รับความหวังดีจะมี “ความต้องการ” ก็ตาม หากมันยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม ความหวังดีที่มาผิดเวลาก็เปรียบเหมือนกับฝนในหน้าหนาว เพราะมันคงทำให้เรารู้สึกแย่เปล่าๆ ว่า “ทำไมตอนที่อยากได้ถึงไม่มา” หรือ “มาบอกอะไรเอาป่านนี้” อยู่ดีนั่นแหละครับ

ทีนี้จะรู้ได้ยังไงว่า “ความหวังดี” ที่เราอยากจะส่งผ่านให้นั้น มันมี “ความต้องการ” และ “ช่วงเวลา” ที่พอเหมาะพอเจาะอย่างพอดี ครั้นจะให้ไปถาม “ผู้รับความหวังดี” ว่า เฮ้ยๆๆ พี่ครับ พี่อยากได้ความหวังดีแล้วหรือยัง มันก็ดูจะไม่ใช่วิสัยที่คนทั่วไปทำกันสักเท่าไร

 

ณ์ฆธ

 

ดังนั้นสิ่งที่ผมเชื่อ คือ “การโยนหินถามทาง” ประกอบกับการสังเกตอาการของผู้รับอยู่เนืองๆ เพราะประสบการณ์ในการเสือก เอ้ย หวังดีนั้น .. จะทำให้เราตัดสินใจได้ว่า ควรหยิบยื่นความหวังดีให้ในช่วงเวลาไหนอย่างไร

ยกตัวอย่างเช่น เราอาจจะต้องถาม “ผู้รับ” ก่อนว่า อยากได้อะไรไหม อยากให้ช่วยอะไรบ้างหรือเปล่า ถ้าหากผู้รับไม่สนองตอบ นั่นก็เป็นคำตอบที่บอกกลายๆว่า “เขายังไม่ต้องการ” ความหวังดีที่เราเต็มใจจะหยิบยื่นให้ และเราไม่มีสิทธิไปทึกทักเอาเองว่า “จริงๆมันอยากได้..แต่มันไม่กล้าพูด” นั่นจะทำให้ความหวังดียิ่งผิดรูปผิดรอยมากกว่าเก่า

บางครั้งช่วงเวลาที่เหมาะสมนั้น อาจจะมาจากการเอ่ยปากที่มาจากความต้องการในส่วนลึกของผู้รับความหวังดี และมันเป็นเวลาพอดีที่เขาต้องการใครสักคนจริงๆ

อ้อ.. และที่สำคัญ “ผู้หวังดี” ทั้งหลาย ต้องไม่คาดหวังว่า การหยิบยื่นความหวังดีที่ผ่านมานั้น จะทำให้ใครสักคนเข้าใจเรา หรือมีคนมาหวังดีกับเรา เพราะส่วนใหญ่แล้วผู้หวังดีที่ถูกที่ถูกเวลาและเป็นที่ต้องการของผู้รับทั้งหลาย มักจะไม่ค่อยได้รับการตอบสนองเมื่อตัวเองต้องการจะแปรเปลี่ยนเป็นผู้รับความหวังดีสักเท่าไร หรือคงเป็นเพราะกรรมเก่าที่ทำให้เราต้องกลายเป็นแบบนี้ #ว่าเข้าไปนั่น

ทั้งหมดที่เขียนมา ไม่ได้ต้องการจะบอกให้คุณทั้งหลายทำตัวเฉยชาไม่ใส่ใจใคร แต่อยากจะให้คุณเลือก “ให้” ในสิ่งที่ผู้รับต้องการ เพื่อที่ความหวังดีนั้นจะไม่ได้ถูกตีความและแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น

สุดท้ายแล้ว.. ถ้าหากคุณหวังดีกับใครสักคนจริงๆ โปรดย้ำคิดความรู้สึกของตัวเองอยู่เสมอว่า ความหวังดีของคุณนั้น ไม่ใช่เครืองมือในการหยิบยื่นและบังคับให้ผู้รับเป็นไปตามอย่างที่คุณต้องการ เพราะสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้น มันไม่ได้เรียกว่าความหวังดี

… แต่มันคือ “ความหวัง” ที่ให้เรารู้สึก “ดี” เพียงผู้เดียว