010 : เรื่องเล่าในวันที่ Passion บอกกับผมว่า “คุณกำลังจะตาย”

 

ณทฟๅจ

 

Passion [N] ความหลงใหล,
See also: ความชอบ, Syn. emotion, feeling

 

เมื่อคืนวันอังคารของสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นวันหนึ่งที่ผมรู้สึกอ่อนล้าชนิดที่เรียกว่า “พร้อมจะเททุกอย่างทิ้ง” สาเหตุจากงานที่ถาโถมเข้ามาตั้งแต่ต้นปี 2016 พร้อมๆ กับเรื่องที่ชวนเครียดขบคิดให้ฤทธิ์น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงานเกินขนาดมาระยะหนึ่ง และเพิ่มเติมความเจ็บป่วยเป็นระยะๆ ด้วยทัพสุดท้ายอย่างอาการหวัดที่เป็นตั้งแต่ปลายปีแต่ไม่มีทีท่าว่าจะหายดีไปง่ายๆ

ผมนั่งอยู่ในรถ – คันเดิมที่ขับอยู่เสมอๆ – หมุนวิทยุเปิด CD เพลงฮิปฮอปใต้ดินของศิลปินที่เคยชื่นชอบ – เหมือนเช่นเคย – แล้วปล่อยให้เสียงเพลงด่าทอส่อเสียดสังคมคลอไปเบาๆ -โดยที่ไม่สนใจเนื้อหาของมัน- และใช้พื้นที่หลังพวงมาลัยขบคิดกับคำถามที่ย้ำขึ้นมาในหัวซ้ำๆ ว่า

 

ทั้งหมดนี้ คือ งานที่กูรัก ?
หรือ งานที่กูพยายามหลอกตัวเองว่ารัก

 

ทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดเก๋ๆ อย่าง “ถ้าคุณทำงานที่คุณรัก คุณจะไม่ต้องทำงานตลอดชีวิต” ผมมักจะแอบสงสัยตามประสาคนชอบเสือกว่า คนเหล่านั้นไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เพราะเขาเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำอย่างสุดใจจนเหมือนมีไอยาบ้าลอยมาให้เสพแล้วดีดตลอดเวลา หรือเอาเข้าจริงพวกเขาก็เหนื่อยเหมือนเรานั่นแหละ แต่มันต้องสู้ต่อไปเพราะไม่มีอะไรที่รู้สึกดีกว่านี้ในชีวิตที่สามารถทำได้อีกแล้ว

ขอสารภาพ ณ จุดนี้ว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่แอนตี้แนวคิดแบบบวกๆ สวยๆ อวยกันทุกพื้นที่ ส่วนใหญ่มักจะเห็นเกลื่อนกลาดตาม Social Network ที่ใครหลายคนเลือกใช้มันเพื่อขับเคลื่อนแรงบันดาลใจในการมีชีวิตของตัวเอง ซึ่งเหตุผลในการแอนตี้นั้น มันเป็นเพราะผมไม่เชื่อว่าการใช้แรงบันดาลใจกระตุ้นตัวเอง มันคือสิ่งที่ถูกต้อง

ต่อให้แรงบันดาลใจดีแค่ไหน แต่ถ้าหากขาด “วินัย” และ “วิจารณญาน” มันก็เหมือนเรือที่แล่นไปแบบไร้หางเสือ พอมีคลื่นซัดแรงมาหน่อย เราก็ไปต่อได้ พอมีกะลาสีฝีพายดีมาช่วย เราก็พุ่งไปอย่างแรง แต่มันไม่มีทางรู้หรอกว่า ทิศทางข้างหน้าที่ไปนั้นมันคือทางที่ถูกต้องเพื่อให้เราท่องทะเลไปสู่เกาะร้างเป้าหมายจริงๆ

 

Passion [N] ความโกรธ,
See also: ความไม่พอใจ, ความโมโห, Syn. anger

 

ผมหันมองไปที่กระจกหลัง สลับกับมอเตอร์ไซด์ที่แล่นผ่ากลางระหว่างเลนเป็นระยะๆ สิ่งหนึ่งที่เป็นเหมือนเดิมมาตลอด คือ การจราจรบนเส้นสุขุมวิทที่ยังคงติดแหง็กในยามเย็น -ระหว่างที่ผมคิดไปไกลขนาดนี้- รถที่ผมขับก็ยังไม่ขยับไปถึงไหนอยู่ดี

คิดๆดูแล้ว.. เหมือนกับโลกนี้กำลังเล่นตลกกับชีวิตที่โหดร้ายของผู้ชายวัยกลางคนที่กำลังเพลียแหลกไปทั้งร่าง แต่ช่างมันเหอะ เพราะเราก็ยังสามารถหยิบโทรศัพท์ Smartphone ขึ้นมา “เล่น” เพื่อ “ฆ่าเวลา” ด้วยเรื่องของชาวบ้านในกล่องแคบๆที่หยุดนิ่งเรียงรายกัน #อย่าเล่นโทรศัพท์เวลาขับรถนะจ๊ะเด็กๆ

ระหว่างที่กำลังเสพ “เรื่องชาวบ้าน” อยู่นั้น สายตาผมพลันเหลือบไปเห็นข่าวเรื่องการลดภาษีในช่วงเทศกาลสงกรานต์และการขยายเวลาลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวขึ้นมา ซึ่งในฐานะของ “บล็อกเกอร์” ด้านภาษีและการเงิน (พื้นที่โฆษณา : ผมทำเพจชื่อ TAXBugnoms นะครับฝากติดตามด้วย #กราบ) ด้วยสัญชาติญานของบล็อกเกอร์แก่ๆคนหนึ่งก็รู้ตัวทันทีว่า นี่คือหน้าที่ที่ต้องเขียนบล็อกออกมา และมันมาพร้อมกับความรู้สึกหงุดหงิดปนสมเพชว่าเรายังต้องทำหน้าที่ในวันนี้ที่เรารู้สึกเหนื่อยอีกแล้วหรอวะ

 

Passion [N] กิเลส,
See also: ตัณหา, ราคะ, Syn. emotion, feeling, Ant. apathy

 

– 6 ปีก่อนหน้านี้ – ช่วงแรกที่ผมเริ่มต้นเขียน “บล็อก” ผมพบกับสายตาของใครหลายคนที่ตั้งคำถามว่า “มึงจะทำไปทำไม” และลามไปจนถึงการตบบ่าให้กำลังใจและไปพูดดูถูกลับหลังเป็นระยะๆ ซึ่งเอาเข้าจริงในวันนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะมาได้ไกลขนาดนี้ (ถ้ารู้ว่ามันจะมาถึงวันนี้ .. กูจะได้ตั้งชื่อดีๆหน่อย) และก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะ “ทำไปทำไม” แค่รู้ว่าเรา “อยากทำ” และพอมีความสามารถในระดับที่จะเริ่มต้นทำมันได้

– 6 ปีก่อนหน้านี้ – บนถนนสุขุมวิทเส้นเดิมที่ผมเคยขับรถกลับบ้าน เมื่อก่อนก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ เวลาที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เจริญขึ้นมากมาย ทั้งคอนโด ห้างสรรพสินค้า รถไฟฟ้า คอมมูนิตี้มอลล์ ร้านรวงต่างๆ อาคารสำนักงานก็เติบโตไปตามแต่ละวาระโอกาสของมัน

เสียงเพลงในรถจบลงแล้วเริ่มต้นวน Track ที่ 1 ใหม่ – 40 นาทีผ่านไป –  พร้อมกับความรู้สึกว่า “หน้าที่ใหม่” กำลังกวักมือเรียกให้ผมลงมือทำเมื่อกลับถึงบ้าน คือ การนั่งเขียนบล็อก Update ข่าวสารด้านภาษีให้ทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งในวันนี้ ผมก็ยอมรับกับตัวเองตรงๆ ว่าไม่ได้มีความรู้สึกดีๆที่ “อยากทำ” เหมือน 6 ปีที่แล้ว ส่วนคำถามว่า “ทำไปทำไม” นั้นก็เปลี่ยนเป็นคำถามว่า “ทำไมต้องทำ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

– เวลาสามทุ่มสิบห้า – คือเวลาที่ผมดับเครื่องยนต์ หยิบกระเป๋าแลปท็อปขึ้นมาสะพายบ่าด้านขวาแล้วเดินเข้าบ้าน แวะนั่งคุยกับแม่เพื่ออัพเดทข่าวสารและทักทายตามประสาลูก ก่อนที่จะขึ้นมาจรดนิ้วทั้งสิบที่ปุ่มคียบอร์ดในเวลาสี่ทุ่มตรง

– เวลาสี่ทุ่มสามสิบเจ็ด – “คุยไปพิมพ์ไปอีกแล้ว งานยุ่งใช่ไหม” เสียงปลายสายโทรศัพท์ถามคำถามเดิมๆ เมื่อได้ยินเสียงก็อกๆแก็กๆ ของนิ้วที่สัมผัสคียบอร์ดก่อนที่จะกล่าวคำว่าราตรีสวัสดิ์ เพื่อปล่อยให้ผมอยู่กับความเงียบเพียงลำพัง

– เวลาห้าทุ่มสามนาที – เป็นเวลาที่ผมโพสท์บทความลงแฟนเพจของตัวเอง แล้วลุกจากเก้าอี้ไปอาบน้ำ ก่อนจะมานั่งดู “การตอบรับ” ผ่าน Like Share Comment ด้วยความภาคภูมิใจของตัวเองที่ทำมันลงไปเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับรู้สึกถึงสัญญานความเจ็บป่วยที่มาเคาะประตูทักทายภายในหัวดัง ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ

– เวลาห้าทุ่มสี่สิบห้า – ก่อนที่จะล้มตัวนอนลงบนเตียงนอน .. ผมนึกถึงความหมายของคำว่า “Passion” และพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนชีวิตผมเหมือนดังเช่น น้ำมัน ยาบ้า หรือสารกระตุ้นที่ทำให้เรามีพลังใจทำในสิ่งที่เรารักต่อไปได้ในวันที่เราเหนื่อยสายตัวแทบขาดใจอย่างที่ใครหลายคนว่าไว้

แต่สำหรับผมแล้ว “Passion” มันคือสิ่งที่เราตัดสินใจ “เลือก” ที่จะทำมันต่อไป แม้จะรู้ว่าทรมาน เหนื่อยยาก และต้องถูกเคี่ยวกรำจนชีวิตลำบากแค่ไหนก็ตาม บางครั้งมันอาจจะไม่จำเป็นต้องมีแรงบันดาลใจหรือกำลังใจจากใครสักคนมาขับเคลื่อนให้เปลืองความรู้สึก

และเหตุผลที่เราปล่อยให้ “Passion” มันทำร้ายเราได้ขนาดนั้น มันก็คงเป็นเพราะเราเองนั่นแหละที่บอกกับมันว่า “ยินดีที่จะตาย” เพียงแค่ขอให้ได้ลงมือทำมัน แม้ว่าจะไม่รู้เลยว่าชีวิตนี้จะสำเร็จจริงๆตามเป้าหมายได้หรือไม่

 

… และเมื่อนั้นเราถึงค่อยกล้าเรียกมันว่า Passion ได้เต็มปาก :)