026 : “อัตตาและคุณค่า” ในคืนที่ผมถามตัวเองว่าเจอรักแท้แล้วหรือยัง ?
มันเป็นตอนเย็นหลังเลิกงานที่ฝนตกหนักกว่าที่เคย วันอังคารแบบนี้.. ฝนตก – รถติด – ชีวิตลำบาก และก่อให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดแกมรำคาญเมื่อได้ยินเสียงหยดน้ำที่ร่วงลงมาจากฟ้าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน
ผมยืนนิ่งๆ อยู่หน้าร้านตัดผมชายชื่อดังย่านสยาม พร้อมด้วยผมบนหัวที่ถูกเซตมาอย่างเรียบร้อย ถ้าใครบ่นว่าล้างรถแล้วฝนตก ความทุกข์ของผมคงมากกว่าพวกเขาตรงที่หัวของเราไม่มีรับประกันเซตใหม่ภายใน 24 ชั่วโมง
เสียงฝนตกหนักยามเลิกงาน เปรียบเหมือนสัญญาณที่ตอกย้ำความผิดพลาดในชีวิตของผมย้ำๆซ้ำๆ หลังจากที่ในวันนี้ต้องพบกับความผิดพลาดไปหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่ความตั้งใจแรกเริ่มว่าจะไปถ่ายรูปให้ – ครูเปิ้ล Mind Director – เพื่อนรักที่กำกับละครเวที “Love Game the Musical” ตอนทุ่มกว่าๆ โดยที่ทึกทักเอาเองว่า ทีมงานจะซ้อมกันที่โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ (ชั้น7 สยามสแควร์วัน) เหมือนกับวันแสดง แต่ความเป็นจริงคือซ้อมกันที่สตูดิโอย่านทองหล่อจ้า #เราคิดว่าควายน่ะควายแล้วแต่เราควายกว่า
เมื่อเข้าใจผิดไปตั้งแต่แรก แพลนที่วางไว้เพราะความคิดที่ว่า ไม่อยากเสียเวลาไปฟรีๆ ด้วยความที่ชีวิตในกรุงเทพเหมือนกับการแข่งขัน ทำอะไรต้องทำให้คุ้มตลอดเวลา และทุกๆวินาที ผมเลยตัดสินใจแวะมาตัดผมก่อน และแทรกด้วยคิวสัมภาษณ์เล็กๆเรื่องภาษีกับน้องบุชชี่ หนึ่งในนักเขียนมากความสามารถจากเวปไซด์ Storylog กะว่าเรียบร้อยก็จะไปโรงละครต่อแบบชิวๆ สรุปคือต้องเปลี่ยนแผนเป็นเดินตัวปลิวขึ้นรถไฟฟ้าไปทองหล่อซะงั้น ( – -“) และทั้งหมดนั้นคือสาเหตุที่ผมยังคงหงุดหงิดตัวเองอยู่เหมือนกับฝนที่ไม่หยุดตก
—
วันนี้ผมเห็นบทความเรื่อง “จุดอิ่มตัวของ Content Marketing บน Facebook” ถูกแชร์กันกระหน่ำมากมายวัวตายควายล้ม และมันคือบทความที่สะท้อนเรื่องจริงในยุคที่เรามีข้อมูลให้เสพจนล้นสมอง (Information Overload) แต่ยังคงมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่าเดิม เราจึงไม่สามารถยัดทุกอย่างเข้าไปในนั้นได้ทั้งหมด ถึงแม้หัวใจของเราจะต้องการแค่ไหน
บทเรียนของเรื่องนี้แปลว่าสิ่งที่เราต้องปรับตัวกันครั้งใหญ่สำหรับคนที่ใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือ คงไม่ใช่การสร้าง “ปริมาณ” หรือจำนวนผลงานออกมาให้มากขึ้น แต่คงต้องเป็นเรื่องของการ “คัดกรอง” และ “คัดสรร” เรื่องที่เราต้องการจะบอกให้โลกนี้รับรู้อย่างมี “คุณภาพ” มากขึ้นทดแทน และการแย่งชิงครั้ง “พื้นที่” ย่อมเกิดขึ้นวนเวียนไปไม่รู้จบ
สุดท้าย “คุณค่า” ก็ชนะเลิศครับ
พี่ที่ผมเคารพท่านหนึ่งพูดไว้แบบนั้น
—
ระหว่างที่กำลังใจลอยคิดเรื่องนี้อยู่ รู้สึกตัวขึ้นมาอีกที ผมกำลังเดินทางอยู่ในตู้โดยสารของรถไฟฟ้าที่ออกจากสถานีสยามไปทองหล่อ ด้วยสภาพที่เบียดแน่นยิ่งกว่าปลากระป๋อง ผสมผสานกับกลิ่นฝน กลิ่นเหงื่อ และความเหนื่อยหน่ายของคนหลายคนในรถไฟฟ้า ทำให้รู้สึกราวกับว่าบรรยากาศช่างชวนให้อึดอัดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ในเมืองใหญ่แห่งนี้.. เราแข่งขันในทุกๆเรื่องจนเคยชิน ตั้งแต่แย่งกันกิน แย่งกันใช้ ร้านอาหาร ถนน ระบบขนส่งสาธารณะ พื้นที่ส่วนตัวต่างๆ ถูกบีบให้เล็กลงด้วยผลของการแย่งชิง ทุกวินาทีดูเหมือนจะมีค่า เพราะถ้าหากไม่ชนะขึ้นมาก็ดูเหมือนมันจะไร้ความหมาย แต่คิดอีกที เราจะเอาชนะคะคานกันไปทำไมในการใช้ชีวิตขนาดนั้น เพราะเราก็รู้กันดีว่ายิ่งรีบเร่งแค่ไหน บางครั้งก็ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรเร็วขึ้นกว่าเก่า
“สถานีทองหล่อ” เสียงสัญญานอัตโนมัติจากรถไฟฟ้าดังขึ้นบอกว่าผมไปถึงเป้าหมาย ลงจากสถานีไม่ทันไร น้องฝ้ายมายก็อดเนตไอดอลเจ้าของเพจเบียร์จ๋าฉันมาแล้วจ๊ะ ก็พูดแซวขำๆขึ้นมาว่า “โหยยพี่ .. แค่มาถึงก็เหนื่อยแล้วว่ะ กลับเลยดีกว่าไหม”
สายฝนที่สถานีทองหล่อไม่แตกต่างกับสถานีสยาม จนทำให้คำว่า “ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” กลายเป็นคำกล่าวอ้างที่เกินจริง เราสองคนตัดสินใจหาอะไรกินกันที่ปากซอย ก่อนที่จะเดินเข้าซอยไปที่สตูดิโอด้วยระยะทางประมาณ 500 เมตร
“พี่เอาถุงไหม” เนตไอดอลเจ้าเก่าเจ้าเดิม เพิ่มเติมคือยื่นถุงพลาสติกมาให้ ถ้าใครผ่านมาในช่วงนั้น คงได้เห็นบรรยากาศฝนพรำๆยามค่ำคืน ที่มีเด็กผู้หญิงหนึ่งคนถือร่มสีสดใส กับผู้ชายอีกหนึ่งคนที่มีถุงพลาสติกสีขาวคลุมหัว เดินเข้าไปยังสตูดิโอ พร้อมกับเสียงบ่นพึมพำไปตลอดทาง
—
ในแต่ละวัน เราตื่นแต่เช้าออกไปทำงาน พักเที่ยง ทำงานต่อ เลิกงาน กลับบ้าน วนเวียนหมุนเวียนไปปีแล้วปีเล่า เราทำงานได้มากขึ้น มีประสบการณ์และความรู้หลากหลายมากขึ้น รู้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องรู้เพิ่มขึ้น และลืมเรื่องบางเรื่องที่ควรรู้ไปโดยไม่รู้ตัว
เราบอกตัวเองว่าต้องรู้เพียงเพราะเราสนใจว่าเราอยากรู้หรือเปล่า เรื่องชาวบ้าน ข่าวสาร อาชญากรรม การเมือง เรื่องดารา หลอกลวง โป้ปดมดเท็จ เทคนิคการทำตัวให้อินเทรนด์เพื่อที่เราจะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโดยที่เราก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น
เราสร้าง “ความมีตัวตน” และค้นพบว่ามันคือ “อัตตา” ในการมีชีวิต ศักดิ์ศรี ความเคารพนับถือ ความเชื่อ ศรัทธา ตรรกะ หลอมรวมจนยึดติดว่ามันเป็นของเรา แต่เอาเข้าจริงเราต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่า ไม่ว่าเราจะพยายามมีตัวตนแบบไหน แต่สิ่งที่ใช้ตัดสินตัวตนเรากลับเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้อย่างสายตาคนอื่น
—
น้องฝ้ายนำทางมาจนถึงสตูดิโอในเวลาประมาณ 2 ทุ่มนิดๆ เลทกว่าเวลาที่นัดไปประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ พร้อมด้วยเสียงบ่นของผมที่บอกว่า “น่าจะขับรถมา” กระปอดกระแปด
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เข้ามาดูการซ้อม “ละครเวที” แบบสดๆ เพราะโดยปกติแล้วในสายงานที่ทำอยู่คงไม่มีโอกาสแบบนี้ ถ้าไม่มีเพื่อนเป็นผู้กำกับละครเวทีอย่างที่เป็นอยู่ (อิอิ)
ถ้าจำไม่ผิด ผมได้มีโอกาสดูละครเวทีครั้งแรกประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว น่าจะเป็นเรื่อง บางกอก 2485 เดอะมิวสิคัล ที่ หอประชุมใหญ่, ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่มีเมืองไทยรัชดาลัย) และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีโอกาสได้ไปละครเวทีที่เป็น Musical บ่อยๆ จนมาช่วงหลังๆ 5 ปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีเวลาไปดูเพราะเวลางานและข้อจำกัดชีวิตที่ขีดให้ตัวเอง บีบให้ต้องบริหารสมดุลของเวลาให้ดี
เมื่อก่อน ผมเคยสงสัยว่า “ทำไมบัตรละครเวทีมันแพงจังวะ” แต่เมื่อได้สัมผัสกับบรรยากาศของละครเวที ผมก็รู้ดีว่าต้นทุนของมันนั้นไม่ใช่น้อยเลย ทั้งนักแสดงทุกคนที่ต้องเป๊ะ (พลาดไม่ได้เพราะเล่นสด) เพลงประกอบ ฉาก คนทำงานเบื้องหลังและการเตรียมงานของมันก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ซึ่งถ้าลองหักลบคิดคำนวณออกมาแล้ว มันก็คุ้มราคาในระดับหนึ่ง ยิ่งถ้าหากคุณเป็นคนชอบงานประเภทนี้และสามารถจ่ายไปได้โดยที่ไม่มีปัญหา ผมก็แนะนำตรงๆว่ามันก็ไม่เสียหายอะไร (เพราะบางครั้งเราก็จ่ายเรื่องอื่นๆไปในราคาที่แพงกว่าเหมือนกันแหละ)
—
ผลงานละครเวทีหนึ่งเรื่อง กว่าจะมีภาพของความสำเร็จหน้าฉากออกมาได้งดงามขนาดนี้ หลายคนคงสงสัยว่าหลังฉากที่มีมันต้องวุ่นวายและเหนื่อยยากขนาดไหน นึกแล้วก็เหมือนกับเรื่องของความสำเร็จในชีวิตมนุษย์คนนึงที่มีแสงไฟสาดส่องให้คนมองเห็น แต่ก่อนที่ไฟจะฉายขึ้นมานั้น เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาผ่านอะไรมาบ้างขนาดไหน และสุดท้ายเมื่อไฟที่ฉายส่องนั้นดับลง เราจะยังคงจดจำเขาไว้ในลักษณะไหน
ในยุคที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง รวดเร็ว หลอมรวมกับความสำเร็จแบบว่องไว เราเห็นหลายคนเร่งส่องแสงไฟจนหลอดขาดแล้วระเบิดใส่หน้าแหกกันไปตามๆกัน เราเห็นไฟระยิบระยับแสบตากับความไม่พร้อมก่อนที่จะออกมายังหน้าเวที และเราเห็นสีหน้าแห่งความอับอายก่อนที่ไฟที่ฉายจะดับวูบลง
บางทีผมก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า
ในชีวิตของคนเราทุกคนนั้น …
เราจำเป็นต้องรีบเร่งกันถึงขนาดนั้นเลยหรือ
—
ผมยืนกดชัดเตอร์อยู่มุมขวาของห้องแบบเก้ๆกังๆ แบบไม่รู้จะไปทางไหนดี มือขวาถือกล้องที่หยิบยืมมาทำให้ปรับตั้งค่าไม่ได้อย่างที่ใจคิดสักเท่าไร ทำให้ต้องหันหน้าไปถามฝ้ายมายก็อดเป็นระยะๆ
ระหว่างที่หันมองซ้ายขวาหามุมถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ความรู้สึกที่มองในฐานะคนนอกที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงาน มองเห็นความวุ่นวายของการยกฉาก ยกไฟ มองเห็นส่งอุปกรณ์ประกอบฉากไปๆมาๆ แน่ละ เพราะว่ามันคือการซ้อมตามปกติ ผมจึงไม่มีโอกาสเห็นแสงไฟสาดส่องไปที่นักแสดงแต่ละคู่แต่ละคน ตอนแรกก็ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ค่อยได้ด้วยการที่มาสาย แต่ก็ใช้ความสามารถส่วนตัวพยายามที่จะปนตัวเองเข้าไปดูเนื้อเรื่องให้เข้าใจในที่สุด (นี่คงเป็นความสามารถพิเศษที่เราชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านแน่ๆ)
Love Game The Musical เป็นละครเพลงแนวใหม่ในสไตล์โมเดิร์น เรื่องราวของหนุ่มสาวสามคู่ที่เกิดจากการความต้องการแข่งขันด้านความรัก เพื่อให้ได้รับชัยชนะทางความรู้สึกในสังคม จนเกิดเรื่องสนุกสนานและวุ่นวายตามมา ถ้าใครสนใจเรื่องราวต่อจากนี้ ลองอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ครับ ก๊วนคานทอง Love Game The Musical
เรื่องราวในละครเวทีเรื่องนี้สะท้อนถึงความรัก ในแง่มุมของความพยายามที่จะมี “รัก” เพื่อให้เกิด “ชัยชนะ” ในเกมส์ๆ หนึ่ง แต่ดูละคร (เวที) แล้ว เราลองย้อนมาดูชีวิตจริงของตัวเองว่า “ความรักของเรากำลังทำให้เกิดทุกข์อยู่หรือเปล่า” ผมนึกถึงเรื่องของความสำเร็จในชีวิตคู่ที่ทุกคนต้องมีตามครรลองขึ้นมา เรียกได้ว่า ตาม Step ที่เราชอบสงสัยเรื่องของชาวบ้าน เอ๊ะ คู่นี้.. จีบกันหรือเปล่า เป็นแฟนกันหรือยัง แต่งงานเมื่อไร ทำไมยังไม่มีลูก คำถามคลาสสิกที่วนเวียนซ้ำๆ ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำเหมือนกับการแปรงฟันวันละ 2 ครั้งหลังอาหาร
แต่คำถามจริงๆ คือ ความรักของเรามันควรเป็นแบบนั้นหรือ ? ความรักไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจเหมือนฝนในหน้าแล้ง หรือควรเป็นเหมือนแดดอ่อนๆฉายมา ยามที่ฝนหนักๆได้ผ่านพ้นไป
ความรักที่ดี
ควรทำให้หัวใจของเรารู้สึกถึงคุณค่าของการมีชีวิตมากกว่าการถูกลิขิตว่า
ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ตามที่ “สังคม” ต้องการ– ไม่มีใครกล่าวไว้ ผมกล่าวเอง
ตัวตน อัตตา ที่มันมากเกินความจำเป็น (แน่ละส่วนนึงสังคมเข็นและผลักไสให้เราเป็นแบบนั้น) และอีกส่วนนึงมันคงมาจากความต้องการที่จะทำให้คนที่เรารักเป็นไปอย่างที่ตั้งใจ ทำไมเธอไม่เหมือนคนอื่น ทำไมชีวิตเราไม่ชื่นมื่นกับความผาสุกเหมือนที่ควรจะเป็นตามที่เห็นในสังคม
เรากำลังติดบ่วงอยู่กับ “ความพยายาม” ทำทุกอย่างให้ดีแบบสุดๆทาง จนลืมไปว่า ชีวิตคนเรานั้นไม่สามารถควบคุมอะไรได้ตามใจ ขนาดนั้นหรอก ผมเชื่อว่าคนที่มีความสุขในชีวิตนั้น เขามองเห็นสิ่งที่ควรทำ และ สิ่งที่ต้องทำ ของตัวเอง ได้อย่างชัดเจน มากกว่าการวนเวียนหมุนเวียนกับความพยายามเหล่านั้นปีแล้วปีเล่า จนสรุปสุดท้ายแล้วเราอาจจะลืมถามตัวเองไปว่า ที่มีความสุขอยู่ทุกวันนี้ มันคือความสุขจริงๆ หรือมันเป็นความรู้สึกที่ต้องมีความสุข
—
กล้องทำหน้าที่ของมันต่อไป ส่วนผมก็ทำหน้าที่กดรัวๆ ไม่ให้เสียดายเวลาที่มาทำหน้าที่ ผมมองเห็นนักแสดงหลักซ้อมกันอย่างขะมักเขม้น สลับกับภาพของนักแสดงประกอบ ผู้กำกับ คนควบคุมการแสดง และเสียงเพลงประกอบ หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไป
พวกเขาเหล่านี้มีเป้าหมายเดียวกันคือการตั้งใจทำงานในช่วงระยะเวลาหนึ่งร่วมกันให้ดีที่สุด ผมสัมผัสได้ถึงพลังแบบนั้นจากการนั่งมองอย่างไร้ตัวตน สลับกับการหมุนวนเดินไปกดชัดเตอร์ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง หลังจากองก์แรกของการซ้อมได้จบลง
ระหว่างการซักซ้อม ผมมองเห็น พวกเขาเล่นละครเวที ราวกับมีเพียงแต่พวกเขา ทั้งๆที่รอบๆนั้นเต็มไปด้วยผู้คนเดินไปเดินมา การผลัดเปลี่ยนฉาก เสียงหัวเราะ การตัดเข้าเพลง ฯลฯ หรือแม้แต่เสียงชัตเตอร์ของผมบางครั้งที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ก็ไม่ได้ทำให้สมาธิหลุดแต่อย่างใด
….หรือนี่คือโอกาสที่สอนให้ผมเข้าใจในเรื่องการ Focus ในสิ่งที่เราทำแบบจริงจัง
—
“กลับยัง รถไฟฟ้าจะหมดแล้ว”
“แต่อีกเดี๋ยวก็ได้มั้ง ใกล้จะจบแล้ว”
ห้าทุ่มเศษๆ ผมเหลือบดูข้อความจาก Facebook Messenger สลับกับฉากสุดท้ายของละครเวทีที่เต็มไปด้วยความสุข ภาพของงานแต่งงานที่พวกเขาร้องเล่นเต้นกันอย่างสนุกสนาน สลับกับเสียงหัวเราะที่ทำให้รู้สึกตรงกันข้ามกับความสดใสในช่วงเวลาที่กำลังจะเดินเข้าสู่วันใหม่อีกไม่นาน
ละครจบแล้ว ผมรีบเดินออกมา พร้อมกับน้องฝ้ายคนเดิม เพิ่มเติมคือรถไฟฟ้าใกล้หมด ส่วนการซ้อมนั้นยังดำเนินต่อไปในช่วงสุดท้าย นักแสดงและทีมงานยังคงต้องประชุมกันต่อไปเพื่อปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
แน่ล่ะว่าการซ้อมวันนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา แต่ผมเชื่อว่ามีใครหลายคนกำลังเฝ้าคอยดูสิ่งที่ดีที่สุดในวันแสดงจริงอีกครั้งหนึ่ง
—
ระหว่างยืนคอยรถไฟฟ้ารอบสุดท้ายเพื่อนั่งกลับจากทองหล่อไปสยาม ผมถามตัวเองสั้นๆหลังจากการซ้อมละครเวทีเรื่องนี้จบลงว่า ตกลงแล้ว “รักแท้มีจริงไหม ?”
เมื่อพูดถึงคำว่า “ความรัก” เราทุกคนล้วนรู้สึกกับคำๆนี้ต่างกัน บางคนอาจจะรู้สึกสวยงามมันเหมือนอยู่ในความฝัน บางคนอาจจะรู้สึกว่าเหมือนกับมันไม่เคยเกิดขึ้น บางคนรู้สึกทุกข์ สุข และเหนื่อยเพราะความรัก แต่เชื่อเถอะว่า เราทุกคนล้วนต้องการความรัก อาจจะเพราะเราใช้ความรู้สึกของหัวใจมากกว่าสมองกับสิ่งนี้มาตั้งนานแล้ว
สุดท้ายแล้วผมได้คำตอบให้ตัวเองว่า ความรักมันคงไม่ได้เกิดมาเพื่อให้เราตั้งคำถาม แต่มันเป็นคำตอบที่สอนให้เราเรียนรู้และอยู่กับมันเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆบนโลกนี้
—
“สถานีสยาม” ฝ้ายมายก็อดโบกมืออำลาก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังสายสีลม ส่วนผมก็เดินเงียบๆผ่านความมืดในสยามแสควร์เพื่อไปยังที่จอดรถตรงตึกด้านหลังเพื่อขับรถกลับบ้านให้ได้นอนในวันที่ยาวนานแบบนี้เสียที
ระหว่างที่เดินไปที่รถ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความใน Facebook เช็ค Notification ที่เข้ามา สอดส่องเรื่องชาวบ้านอีกเล็กน้อย ก่อนจะปิดหน้าจอในโลกออนไลน์ลงไป และกดโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งในเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ
สำหรับคนปกติ เวลานี้คงไม่เหมาะที่จะคุยโทรศัพท์สักเท่าไร
และผมมั่นใจว่าใครคนหนึ่งกำลังรอโทรศัพท์สายนี้ของผมอยู่
… ด้วยความรู้สึกเล็กๆที่เรียกว่า “ความรัก” …