030 : ความอยาก การตัดสินใจ การยอมรับ กับนิยายเรื่องแรกในชีวิต
“จะรู้ได้ยังไงว่าเราอยากทำอะไร”
เด็กสาววัยรุ่นเอ่ยถามผมเมื่อเราพูดคุยกันเรื่องชีวิต
ผมเล่าให้เธอฟังถึงความจำเป็นของการ “เลือก” หนทางของชีวิตให้เหมาะ ต่อยอดไปจนถึงการค้นพบตัวเองในสายอาชีพที่ “อยาก” จะเป็นจริงๆ ด้วยสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง ทั้งจำนวนประชากร เทคโนโลยี การแข่งขัน ไปจนถึงโอกาสมากมายในการใช้ชีวิต
ทุกครั้งที่เจอกัน ผมชอบชวนเธอคุยเรื่องนี้อยู่เสมอ แต่วันนี้เราจบบทสนทนากันว่า “เราต้องลองออกไปทำดูก่อน มันถึงจะตอบได้ว่าเราชอบหรือไม่ชอบ”
ผมตอบกลับเธอไปแบบนั้น มองจากแววตาเธอแล้วเหมือนจะเข้าใจมันมากขึ้น
—
“ตอนวัยรุ่น ผมเคยอยากเรียนสถาปัตย์ เป็นสถาปนิกเพราะชอบวาดเขียน แต่พอเรียนแล้วก็รู้ว่าตัวเองคงไปไม่รอด กลับมามองดูที่บ้านก็เห็นแม่นั่งทำบัญชี และมันก็เป็นสิ่งที่ผมช่วยแม่ทำมาตั้งแต่เด็ก พอคิดไปคิดมาก็เปลี่ยนมาเรียนสายบัญชี โดยที่ไม่ได้รู้หรอกว่าตัวเองชอบ แต่คิดว่าเราทำได้”
เป็นคำตอบช่วงหนึ่งของบทสนทนาหลังจากที่ได้รับคำถามว่า
“ถ้าวันนี้พวกพี่ไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่ หนูอยากรู้ว่าพี่อยากทำอะไร”
“พี่ไม่ได้อยากเป็นนักเขียนเหรอ ผมเห็นพี่ชอบเวิ่นเว้อลงเฟสบุ๊ก” มิตรสหายท่านหนึ่งกล่าวสัพยอกถามมาด้วยอารมณ์ขัน แน่ละ ถ้าใครเห็น Status พร่ำเพร้อเวิ่นเว้อต่างๆของผมลงในเฟสบุ๊ก ก็ไม่น่าแปลกใจที่จะคิดแบบนั้น
“ไม่นะ พี่แค่ชอบเขียนเล่นๆ” ผมตอบกลับด้วยความรู้สึกของตัวเองไป
แต่มันอาจจะมีเสี้ยวนึงในจิตใจที่ยอมรับว่าเราเคยคิดฝันแบบนั้น
—
ถ้าใครที่พอติดตามสิ่งที่ผมเขียนมาบ้าง คงจะรู้ว่า “ผมไม่กล้าเรียกตัวเองว่านักเขียน” แม้ว่าทุกวันนี้อาชีพส่วนหนึ่งที่ทำรายได้ให้กับผมอย่างเป็นกอบเป็นกำ มันจะมาจากงานเขียนต่างๆมากมายทั้ง Ghost Writer, Advertorial ซึ่งต่อยอดเริ่มต้นมาจากการทำบล็อกเล็กๆที่ให้ความรู้ด้านภาษีแบบที่ไม่ได้คิดอะไรเลย
สำหรับผมแล้ว คนที่จะกล้าเรียกตัวเองว่านักเขียนได้
มันควรมีอะไรมากกว่านั้น… แต่ผมยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร
—
“พี่หนอม สนใจมาเขียนลง Fictionlog Original Series ไหม? พอดีเห็นวันก่อนพี่เขียนนิยายสั้นๆ ลง Storylog”
“พี่เขียนได้หรอ พี่ไม่เคยเขียนนิยายมาก่อนเลยนะ”
คำชวนจากน้องลูกศร หนึ่งในทีมงานตระกูล log มาให้ผมตัดสินใจช่วงปลายเดือนพฤษภาคม และมีเงื่อนไขว่าต้องส่งเค้าโครงเรื่องภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม และนิยายจะต้องพร้อมลงในเดือนสิงหาคม ลงติดต่อกันไปทุกอาทิตย์จนจบ
ผมใช้เวลาคิดไม่นานก็เอ่ยปากตอบตกลงไป พร้อมด้วยคำถามและความสงสัยในหัวว่า “กูจะทำได้หรอ” “กูจะมีเวลาหรอ” และค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น ความกลัว ความลนลาน เพราะการตัดสินใจครั้งนี้ย่อมมีผลกระทบต่องานประจำและงานไม่ประจำ รวมถึงตารางชีวิตของผมอย่างแน่นอน
—
“เมื่อมีโอกาสเข้ามา ถ้ามันไม่เบียดเบียนใครก็ทำไปก่อน อย่าเพิ่งกลัวเหนื่อย วันหนึ่งถ้ามันไม่ไหว เราจะรู้เองว่าอะไรควรเลิก อะไรควรไปต่อ” ผมนึกถึงประโยคที่เคยพูดกับน้องชายคนหนึ่ง หนึ่งในช่วงการสนทนาที่ว่าด้วยสิ่งที่เขาควรเลือกทำ
ที่ผ่านมา ผมยึดหลักแบบนั้นมาตลอดในการใช้ชีวิต แน่ล่ะว่ามันไม่ใช่ความคิดที่ดีซักเท่าไรในแง่ของการใช้แรงงาน แต่มันเหมาะมากสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบ หรืออยากจะทำอะไรเหมือนผม
—
หลังจากส่งโครงเรืองไปแบบฉิวเฉียดกับเดตไลน์ แล้วหันหน้ากลับไปเคลียร์งานที่คั่งค้าง ทำหน้าที่หลายอย่างให้เรียบร้อย ผมก็เริ่มลองเขียน “นิยายเรื่องแรก” ในเดือนกรกฎาคม และคำว่า “เชี่ยยยย… ทำไมมันยากจังวะ” คือความคิดที่เกิดขึ้นในหัวของผม
ปกติแล้วโดยลักษณะงานของสาย Non-Fiction หรืองานเขียนที่ไม่ใช่นิยาย ผมมักใช้วิธีการด้นสด คือ วางโครงเรื่องคร่าวๆที่ต้องการสื่อสาร หรือหาเพียงแค่หัวข้อที่อยากเขียนแล้วค่อยๆขยายประเด็นออกมาเป็นเรื่องราว เมื่อได้จำนวนเรื่องราวถึงจุดนึง จึงค่อยนำมาร้อยเรียงต่อกันให้เป็นเล่ม
ในขณะที่การทำงานสาย Fiction นั้น โครงเรื่องและความสัมพันธ์สำคัญมาก ตอนแรกที่ผมเคยเห็นปองวุฒิ (มิตรสหายที่มีผลงานเขียนมากว่า 70 เล่ม) เล่าให้ฟังถึงวิธีการเขียนนิยายที่ต้องเป็น “ระบบ” วางโครงเรื่อง ขยายเรื่องราว คาแรกเตอร์ การกระจายนู่นนั่นนี่แล้วก็คิดในใจว่ายากชิบหาย แต่พอได้ทำเองแล้วก็พบว่ามันยากโคตรพ่อโคตรแม่กันเลยทีเดียว
“พี่เขียนเล่มนี้เล่มเดียวพอนะ กูไม่เขียนต่อแล้ว” ผมบอกน้องลูกศรไปแบบนี้ หลังจากที่เขียนเสร็จไปประมาณ 10% ของเนื้องานทั้งหมดที่ต้องทำ และรับฟัง Feedback แบบคร่าวๆ เป็นที่เรียบร้อย อันได้แก่ เรื่องย้วยไป, คาแรกเตอร์ไม่ชัด, ไม่กระชับ ไม่ประทับใจ, ไม่น่าตามต่อ ฯลฯ #กูเผาทิ้งเลยดีกว่า
หลังจากที่นั่ง แก้ไข แก้ไข แก้ไข มันก็มาถึงวันที่ 1 สิงหาคม วันที่ต้องลงนิยายเรื่องแรกของตัวเอง…
—
“ว่าไงครับพี่หนอม…”
“เดือนสองเดือนนี้พี่ขอเขียนน้อยหน่อยน่ะ ช่วงนี้งานเยอะว่ะ งานพูด งานบรรยาย งานประจำก็เร่งขึ้นมา แถมตอนนี้ต้องมาเขียนนิยายกับ Fictionlog อีก กลัวจะทำไม่ทัน”
“ทำไมพี่หนอมไปเขียน Fictionlog ล่ะฮะ”
“เค้ามาชวนเขียนอ่ะ พี่ก็เลยตัดสินใจเขียน คิดว่าจะได้พัฒนางานเขียนของตัวเอง เผื่อดังจะได้ออกสื่อด้านอื่นด้วยนะ 555” #มันช่างเป็นคำตอบที่สิ้นคิดและไม่รักษาอุดมคติห่าอะไรเลย
—
“แหม่.. ตอนนี้เพจดังใหญ่ รวยแค่ไหนแล้วล่ะ” มิตรสหายคนนี้เป็นคนเดียวและคนเดิมที่เคยพูดกับผมเมื่อ 6 ปีก่อนว่า “มึงทำเพจไปทำห่าอะไรวะ ไม่เห็นจะได้เชี่ยอะไรเลย”
ถ้าไม่พูดกันแบบสร้างภาพสร้างไฟสร้างอินสไปเรชั่น 6 ปีก่อนหน้านี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันหรอกว่ามันจะมาได้ขนาดนี้ เช่นเดียวกันกับการเขียนนิยายเรื่องแรกในตอนนี้ ผมก็ไม่รู้อนาคตของมันหรอกว่า ชีวิตมันจะเป็นอย่างไรต่อไปหลังจากการตัดสินใจทำงานที่ไม่รู้ว่าเราจะได้อะไรจากมัน นอกจากความรู้สึกเหมือนกับการที่เราได้เกาตรงที่คัน มันอาจจะเป็นแค่ความสะใจเล็กๆ ก็แค่นั้น …
บางครั้งคนเราก็เป็นแบบนี้ ตัดสินใจทำอะไรด้วยความอยาก แต่ไม่รู้หรอกว่าอะไรจะตามมาหลังจากการตัดสินใจของเรา และถ้ามองชีวิตให้ง่ายขึ้นกว่านั้น เราอาจจะใช้วิธีเตือนตัวเองทุกครั้งด้วยประโยคสั้นๆว่า “ถ้าตัดสินใจทำอะไร ก็ยอมรับผลของมันให้ได้” และมันก็อาจจะพอแล้ว
และทั้งหมดที่เขียนมานี้ ผมเพียงแค่อยากจะบอกว่า ติดตามผลงานนิยาย #ตัวฉันในวันพรุ่งนี้ ได้ที่ Fictionlog ตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับ
ตัวฉันในวันพรุ่งนี้ (Yesterday-Today-Tomorrow)
https://fictionlog.co/b/579ee10855f7d402035fd655