032 : ทำไมถึงอยากเป็นนักเขียน ?

(1)

“ทำไมคนสมัยนี้อยากเป็นนักเขียนกันเยอะวะ” หัวข้อสนทนาก่อนการร่ำลาเมื่อวันก่อนทำให้ผมนึกถึงหลายๆนิยามของคำว่า “นักเขียน”

ในโลกยุคใหม่แบบนี้ เราต่างนิยามอาชีพตัวเองไม่ค่อยจะได้เท่าไรว่าเราทำอะไรเพื่อเลี้ยงชีวิตบ้าง และมันเป็นสิ่งที่ผมคิดทุกครั้งที่ต้องนำเสนอผลงานอะไรสักอย่าง กับ-คำถามที่ว่ากูเป็นอะไรทำอะไรอยู่ จนบางครั้งอยากจะกรอกชื่ออาชีพไปว่า “ทำทุกอย่างที่ได้เงิน” ให้รู้แล้วรู้รอดกันเลยทีเดียว

มาคิดๆดู ไอ้นิยามของคำว่า “เลี้ยงชีวิต” นั้นมันก็ต้องมาจำแนกอีกว่างานนั้นมันให้อะไรกับเรา เงินทอง ความสุข แพชชั่น หรือสาระพันอันละน้อยที่เราต่างจะนิยามให้กับมัน

 

(2)

“บางคนแม่มยังไม่มีผลงานสักอย่าง เสือกเรื่องตัวเองว่านักเขียนซะงั้น” นั่นคือคำพูดถากถางและเหยียดหยามความฝันที่ยิ่งใหญ่ โอเค… ผมยอมรับได้เหมือนกัน ถ้าหากคุณนั้นบอกว่าสิ่งที่คุณใช้เลี้ยงชีวิตนั้นมันไม่ใช่ “เงิน”

การเป็นนักเขียนในยุคนี้ มันอาจจะแสดงความมีตัวตนอะไรบางอย่างของการมีชีวิต เพราะเราทุกคนเสพติดการอยู๋ในโลกออนไลน์ บางทีแล้วการมีอะไรสักอย่างที่พิสูจน์ตัวตนว่าไม่ธรรมดา มันคงน่าปลื้มใจเหมือนกัน

ผมยิ้มให้กับความรู้สึกแบบนี้ ตอนที่นั่งลบเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเขียนไว้ออกจากเวปไซด์แห่งหนึ่ง

 

(3)

“ขอติดตามแต่ผลงานเท่านั้นละกันนะ” มิตรสหายท่านหนึ่งบอกกับผมแบบนั้น อาจเป็นเพราะสิ่งที่เขามองเห็นตัวตนที่มีชีวิต มันคงไม่ถูกจริตกับสิ่งที่ผมเขียนสักเท่าไร เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็รู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

ความเสียใจที่ว่า ไม่ใช่เกิดจากการที่เขาประกาศกร้าวมาว่าจะไม่ติดตาม เพราะผมรู้ทั้งรู้ว่า คนเราคงไม่สามารถแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้ในงานเขียนได้ทั้งหมดหรอก

แต่ต่อให้พยายามแสดงตัวตนจริงๆออกไปมากแค่ไหน มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี เพราะสิ่งที่คนเลือกมองเห็นนั้น มันถูกตัดสินไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเขาจะเลือกให้เราเป็นแบบไหน

 

14316744_10153898976303450_1392377035315496705_n

 

(4)

โดยอาชีพนักเขียนเป็นอาชีพที่มีปัจจัยร่วมหลายอย่างของภาวะซึมเศร้า เช่น อาชีพนักเขียนเป็นอาชีพที่เปลี่ยวเหงา และอยู่กับการครุ่นคิด การทำงานในเวลาที่ผิดปกติ อาหารการกิน และไปจนถึงอาการ writer’s block หรืออาการตัน ที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ของอาชีพนักเขียน (เครดิต : http://www.dek-d.com/board/view/3482053/)

บางครั้งที่ผมไม่กล้าเรียกตัวเองว่านักเขียน อาจะเพราะลึกๆ รู้ตัวแล้วว่าคงเป็นได้แค่เกรียนคียบอร์ดที่ไม่ได้ทุ่มเททุกอย่างลงไปในงานได้เหมือนอย่าง “ตัวจริง” ที่ยอมอุทิศทุกอย่างไปจนถึงการเป็นโรคซึมเศร้า

 

(5)

“นั่งเขียนห่าอะไรไม่รู้ ไร้สาระ เอาเวลาไปทำมาหากินดีกว่าไหม” ประโยคดีๆที่กระแทกใจมาหลายครั้ง ในระหว่างเกือบๆสิบปีที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้ยังไม่รวมถึงคำถากถางมากมายที่เคยได้ยินและบินว่อนอยู่ในสมองน้อยๆของผม

“มึงอยากเป็นนักเขียนเหรอ” ทุกครั้งที่ได้ยินคำนี้ คำตอบแรกคือการส่ายหน้า ทั้งๆที่ผมเองก็รู้ว่า งานนี้คืองานที่เลี้ยงชีวิต และจิตวิญญานในบางโอกาส แต่สุดท้ายแล้วมันเหมือนคำสาปที่หลอกตัวเองว่า เราคงเรียกตัวเองว่านักเขียนไม่ได้หรอก

อัตตาทำให้เรารู้สึกว่าเรามีตัวตนขึ้นมาในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่เขียนมันก็เหมือนชีวิตของคน มันเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงจังหวะ ชีวิต เวลา และประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาหนักหนาแตกต่างกันไป

 

 

สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้… คงแค่เพียงเขียนมันต่อไป
แล้วค่อยลืมมันลงไปในวันพรุ่งนี้