018 : ถ้าความจริง = สิ่งที่เป็น, ความคิดเห็นคงเป็นแค่สิ่งที่อยากบอก

.

-เราว่า จริงๆความจริง อาจจะไม่มีจริงก็ได้-

มิตรสหายท่านหนึ่งตอบกลับมาแบบนี้ เมื่อผมบ่นๆพร่ำเพร้อเรื่อง “ความจริง” กับ “ความคิดเห็น” ที่มันเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความสับสนในใจของตัวเองหลายครั้ง เมื่อได้ยินได้ฟังใครหลายคนที่ยัดเยียดความคิดเห็นของเขาให้เราต้องรู้สึกว่ามันเป็นความจริง

ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย?

ประโยคนี้มักถูกต่อท้ายด้วยคำว่า…. แต่คนพูดจะตายด้วยความจริง อยู่เสมอ คล้ายกับว่าเราทุกคนรู้อยู่แก่ใจดีว่า “เรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรพูด” และ “เรื่องที่พูดบางเรื่องก็ไม่ใช่ความจริง”

เช่นเดียวกัน ความจริงบางอย่างที่เราเชื่อถือมาตลอด
มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะบอกว่าสิ่งที่เราเชื่อนั้นถูกต้องเช่นนั้น “จริง”

ความคิดเห็นเปลี่ยนแปลงได้?

ผมรู้สึกอยู่คนเดียวลึกๆว่า ความแตกต่างกันระหว่างความจริงกับความคิดเห็น อยู่ที่ “การเปลี่ยนแปลง” เพราะการลบล้างความจริง (ไม่ว่าความจริงแบบสัจนิรันดร์ หรือความจริงจากสิ่งที่เราเชื่ออย่างสุดใจ) นั้น ย่อมใช้พลังมากกว่า การเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นจริงที่เกิดขึ้นในใจของใครหนึ่งคน

ตอนเด็กๆ เวลาครูถามคำถามเพื่อนทั้งห้องระหว่างคำตอบสองข้อ เราจะเห็นบางคนยกมือเลือกคำตอบตามจำนวนคนที่มากกว่า บางทีเราเองนั่นแหละที่พอเห็นเพือนเกินกว่าครึ่งห้องยก เราก็ตัดสินใจยกมือขึ้นบ้าง เพราะคิดว่าอะไรที่เหมือนๆกับคนส่วนใหญ่นั้นมักจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

… และถึงแม้บางครั้งมันอาจจะขัดกับความคิดเห็นข้างในจิตใจของเราก็ตาม

เมื่อเราโตขึ้น ความคิดเห็นของเราก็เปลี่ยนแปลงได้ยากขึ้นจากประสบการณ์ที่บ่มเพาะ ร่วมกันกับความถูกต้องที่เกาะกินใจเมื่อเลือกทางเดินที่ “ใช่” สำหรับตัวเองได้อย่างสม่ำเสมอ จนเราเผอเรอหลอมรวมความคิดเห็นที่ผ่านมานั้นให้มันกลายเป็นความจริงสำหรับเราไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเรื่องนี้อาจจะบอกเราว่าความเชื่อที่เหมือนกันจำนวนมาก สามารถเปลี่ยนความคิดเห็นให้กลายเป็นความจริงได้เช่นเดียวกัน

Bu

“แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าอันไหนจริง อันไหนไม่จริง” มิตรสหายท่านเดิมถามผมเมื่ออ่านที่เขียนมาถึงตรงนี้ ผมตอบเขาไปว่า หากสามารถพิสูจน์ได้ คงต้องลองพิสูจน์ เพื่อจะได้ความจริงที่แท้จริง แต่ถ้าหากพิสูจน์ไม่ได้ คงต้องลองเลือกระหว่าง การเชื่อประสบการณ์เรา หรือ ไว้ใจประสบการณ์เขา แต่เราควรจะรู้ว่าทั้งหมดที่เรากำลังทำอยู่นั้นมันอาจจะไม่ใช่ความจริง หรืออาจจะเป็นเพียงความคิดเห็นที่เข็นให้จิตใต้สำนึกของเราคิดว่ามันถูกต้อง ดังนั้นมันจะผิดพลาดบ้างก็ไม่แปลก

เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้ คำพูดของมิตรสหายท่านเดิมก็ลอยขึ้นมาในหัวของผมอีกครั้งว่า – จริงๆความจริง อาจจะไม่มีจริงก็ได้- และตามด้วยคำถามที่ว่า “แล้วทำไมเราถึงต้องรู้ความจริงด้วยล่ะ ?” เพราะในเมื่อสิ่งที่เราเชื่อนั้น มันอาจจะเป็นเพียงแค่เสี้ยวความจริง หรือเป็นเพียงสิ่งที่เราศรัทธาไปเรียบร้อยแล้ว และถึงแม้ว่าต่อให้มันเป็นความจริงแบบจริงๆก็ตาม คำถามสุดท้ายคือมันจะทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปในทางไหนได้อีกหรือ ?

.. และทั้งหมดนั้นคือความคิดเห็นของผมที่มีต่อ “ความจริง”

012 : “ความจริง” คือ “สิ่งที่เราเชื่อ”

จงเชื่อในความจริง…
เป็นคำพูดที่แสดงว่าความจริงคือ “สิ่งสำคัญ”

แต่เราอาจจะยังไม่เคยสงสัย
ว่าอะไร คือ “ความจริง”

เรื่องของ โจ เอ ปู : โจรักเอมากและสองคนกำลังจะแต่งงานกันตอนปลายปีนี้ แต่แล้วโจกลับไปสนิทกับปู ผู้หญิงคนใหม่ที่เข้ามาในชีวิต จนทำให้ยกเลิกงานแต่งงานในที่สุด

เรื่องของโจ : ตลอดเวลาที่คบกันมา เอไม่เคยเข้าใจผมเลย บังคับให้ทำตามสิ่งที่เอต้องการตลอด ผมไม่เคยได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง แม้แต่การแต่งตัว การกิน การทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แต่ “ปู” กลับทำให้ผมรู้ว่าความรักที่แท้จริงมันคืออะไร มันผิดด้วยเหรอ ถ้าหากเราคบที่คบไม่ใช่ แล้วเราตัดสินใจเลิกกับเขาก่อนที่จะแต่งงานกัน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนส่วนใหญ่มองว่าผมผิด ผมทรยศ ทั้งๆที่ผมนี่แหละบอกเลิกเอก่อนที่จะตัดสินใจคบปู แต่เอกลับบอกให้ผมพยายามคบซ้อนสองคนไปก่อน รอเอทำใจได้ก่อนแล้วค่อยเลิกกัน

เรื่องของเอ : เราผิดหวังกับโจมากกกกก เราเคยคิดนะว่าโจจะเป็นผู้ชายที่ดี ซื่อสัตย์  (สะอื้น) แต่หลังจากที่เราจับได้ว่าเขาคบกันกับปูมาเกือบๆครึ่งปีแล้ว ผู้ชายคนนี้ก็ทำให้เราขยะแขยงคลื่นไส้ทุกครั้ง ยกเลิกงานแต่งงานก็ดี คนที่สันดานแบบนี้แต่งไปก็ไม่มีความสุข คิดดูนะ เราทำดีกับโจทุกอย่าง เราดูแลเขาทุกทาง มีใครทำได้ขนาดเราไหม เราบอกเลยว่าไม่มี แต่นี่หรือคือผลลัพธ์ของการทำความดี เราไม่เข้าใจจริงๆ!

เรื่องของปู : เราไม่รู้อะไรเลย เรารู้แค่ว่าโจมีปัญหากับแฟน แต่เอาจริงๆเราก็ไม่ได้คิดว่าจะหยุดที่โจนะ คนที่เลิกกับผู้หญิงที่จะแต่งงานได้ คนแบบนี้เราว่าก็ไม่น่าจะจริงใจกับเราเท่าไรหรอก แต่ก็ไม่รู้นะ อนาคตไม่แน่นอน แต่ถ้าเป็นไปได้ช่วยบอกให้บรรดาเพื่อนๆของเอเลิกโทรศัพท์มาคุกคามเราเสียที เรารำคาญอ่ะ

ทั้งหมดนี้ หากคุณถามว่าใครพูดความจริง? ผมก็คงตอบไม่ได้เพราะทั้งหมดนี้คือเรื่องที่แต่งขึ้นมาขำๆ แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง และคุณรู้จักคนทั้งสามคนนี้ บางทีผมก็อยากรู้ว่าคุณจะเลือกเชื่อใคร ? และทำไมถึงเป็นแบบนั้น

ถ้าใครเคยอ่านหนังสือ “ราโชมอน” คงจะเคยคุ้นชินและได้ยินคำบอกเล่าจากปากที่แตกต่างกัน ดังนั้นเรื่องเหล่านี้อยู่ที่ว่าเราจะตัดสินใจเชื่อ “ใคร” จากประสบการณ์ ความไว้ใจ ความเข้าใจ และสิ่งที่เราคิดว่าเรารู้สึกได้ว่าเขาพูด “จริง”

โดยปกติแล้ว “ความจริง” มักถูกบิดเบือนโดย “ความรู้สึก” ตั้งแต่ความรู้สึกลึกๆที่อยากเอาชนะ ความลุ่มหลง ความรัก หรือแปรผันตามกาลเวลาที่ผ่านมานานจนบางครั้งคลับคล้ายคลับคลาว่จะลืมเลือน จนทำให้มันเหลือเพียง “ความรู้สึกเลาๆ” ในช่วงเวลานั้นของผู้บอกเล่า

คำถาม คือ แล้วในโลกแห่งความเป็นจริงเราจะสามารถเชื่อถือใครได้ หากความจริงถูกบิดเบือนไปเสียขนาดนี้ ถ้าให้ตอบหล่อๆ เอาจบบทสนทนาได้ทันทีก็คงเป็นคำดีๆ อย่าง “เชื่อตัวเอง”

… แต่ถ้าจะเอาจริงๆจากใจคงต้องตอบไปตรงๆว่า “ไม่รู้”

แม้แต่สิ่งที่ผมพูดและเขียนมาให้คุณอ่านถึงตรงนี้ มันก็ถูกปรุงแต่งด้วย “ความรู้สึก” ที่มีต่อเหตุการณ์ต่างๆในชีวิต แน่ล่ะว่ามันอาจจะไม่ใช่ความจริงแม้สักนิด และบางครั้งมันอาจจะแค่ถูก “จริต” ของ “ความจริง” ที่ผู้ฟัง “รู้สึก”

ทุกครั้งที่เราเห็นคนทะเลาะกัน เรามักจะหาว่า “ใครถูก-ใครผิด” แต่เอาเข้าจริงแล้ว เรานั่นแหละอาจจะเป็นคนที่กำหนดคนถูกและผิดไว้เรียบร้อยตั้งแต่แรก เหลือเพียงคำกล่าวและเหตุผลจากคนที่เราเชื่อ ที่เราจะเลือกมาให้มองเห็นว่ามันเป็น “ความจริง”

คำพูดเท่ห์ๆว่า “ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย”
อาจฟังดูคล้ายว่าความจริงนั้นชนะทุกอย่าง และมันคือความถูกต้องอย่างจริงแท้

แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นได้แค่คำปลอบใจ
ที่บอกให้เรารู้ว่า “ไม่มีใครหรอกที่เกิดมาเพื่อรู้ความจริง”

:)

-001 : เราอยู่กับมันไม่นานพอ หรือ เรารอมันจนเบื่อไปเอง?

 

1.

ในวันที่โปเกมอนโก

เริ่มหายไปจากนิวฟีดส์ของเฟสบุ๊ค

ผมหยุดถามตัวเองว่า

เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นมาแล้วกี่ครั้ง?

เกิดขึ้น – ดึงความสนใจ – เลือนหายไป

ใครบางคนอาจเข้าใจว่ามันคือ

“อนิจจัง – ทุกขัง – อนัตตา”

 

2.

20 กว่าปีก่อนหน้านี้

ผมขอเงินแม่ซื้อกีตาร์โปร่งตัวแรก

เดินแบกไปเรียนที่โรงเรียนดนตรีชื่อดัง

ติดต่อกันเป็นเวลา 4 เดือนกว่า

 

พอขึ้นเดือนที่ 5

กีตาร์ตัวนั้นถูกวางทิ้ง-พิงอยู่ข้างฝาผนัง

 

3.

ความสำเร็จในชีวิต

ล้วนต้องอาศัยความพยายาม

 

แต่ความพยายามเพียงอย่างเดียว

ไม่อาจทำให้เกิดความสำเร็จได้เลย

 

เราเห็นคนมากมายประสบความสำเร็จ

เรามองมุ่งไปที่ผลลัพธ์ที่ประทับใจ

แต่มองข้ามทางที่เดินผ่านมาไปหมดสิ้น

 

และคงไม่ได้แปลกอะไร

ถ้าใครสักคนถูกลืมเลือนไป

เพราะมีคนสำเร็จคนใหม่ขึ้นมาแทน

 

4.

เสพย์อะไรทุกคนเป็นแบบนั้น

อยู่กับคนแบบไหน จะได้อย่างนั้น

เราเป็นค่าเฉลี่ยของ 5 คนที่เราคลุกคลี

 

คำกล่าวดีๆเหล่านี้

ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เดินไปต่อ

 

จนบางครั้ง…

เราลืมรอเพื่อหยุดดูความล้มเหลว

ราวกับทองคำเปลวแผ่นเล็กๆ

ที่ถูกแปะไว้เพื่อสัมผัสแต่ผิวเผิน

 

5.

โปเกมอนโก ค่อยๆ เลือนหาย

กีตาร์ตัวเดิมถูกเปลี่ยนสภาพ

กลายเป็น กล้อง กอล์ฟ แกดเจ็ท แฟชั่น

 

ส่วนความสำเร็จนั้น

คล้ายยังคงต้องการสิ่งขับเคลื่อน

 

ในขณะที่มิตรภาพของ 5 คน

ลืมเตือนให้เราจำกำพืดตัวเอง

 

และผมเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า

“ความครื้นเครงของการมีชีวิต”

-003 : บอกว่ารักในสิ่งทีทำ แต่สุดท้ายก็ทำเพราะสิ่งที่รัก

 

ถ้าให้เลือกระหว่าง

ได้อยู่กับคนที่เรารักแล้วมีความสุข

กับ

ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักแล้วมีความสุข

เราจะเลือกอะไร เพราะอะไรหรอ

Status ตั้งคำถามของมิตรสหายท่านหนึ่ง

ทำเอาผมถึงกับสับสนในคำตอบของตัวเอง

 

เราเห็นหนังสือ How-To มากมายสอนให้เราเลือกทำในสิ่งที่เรารัก กล้าที่จะออกนอกกรอบของสังคม กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่ใครไม่รู้กำหนดไว้ ทลายกรอบกำแพงที่อยู่ลึกในใจของคุณออกมาสิ ออกมาจากความรุ้สึกเหล่านั้น เพื่อที่จะก้าวเดินทางสู่ความสำเร็จ

 

“ทำในสิ่งที่รักและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น” ประโยคง่ายๆ ที่บอกให้คนที่มีความฝันเริ่มต้นจากสิ่งที่เราชอบ แต่ถ้ามันจะกลายเป็น “อาชีพ” ได้นั้น เราเองก็ต้องมั่นใจว่าคุณค่าของมันมากเพียงพอที่จะให้คนอื่นมองเห็น และยินดีที่จะรับรู้ว่ามันสำคัญต่อชีวิตของเขา สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็จะ Win-Win ชนะไปด้วยกัน

 

“ฟังเสียงหัวใจตัวเอง เข้าใจให้ชัดว่าเราต้องการอะไร” อีกหนึ่งคำปลอบใจที่มากระตุ้นกำลังใจ ในวันที่ถูกก่นด่าดูถูกหรือหยามน้ำหน้าว่าเรานั้นเป็นได้แค่คนที่ไม่มีคุณค่า เสียเวลาทำในสิ่งทีไม่มีใครสนใจ คำพูดนี้แหละที่ช่วยให้เราเดินต่อไปข้างหน้าพร้อมกับคำว่า “อดทน” กับการใช้ชีวิตที่เลือกด้วยตัวเอง

 

น่าแปลกเหมือนกันที่เราถูกสร้างให้เข้าใจแบบนั้น เลือกแบบโน้น และบอกตัวเองว่าต้องการแบบนี้ แต่แล้วสิ่งที่เราเอามาพิจารณาในการเลือกจริงๆ ก็คือ “ความสุขของคนที่เราแคร์” และบางครั้งมันมากเสียกว่า “ความต้องการของเรา” ที่เราคิดว่ามันแน่นอนไปตั้งแต่เราเลือกที่จะทำสิ่งนั้น

 

“ถ้าหากทำสิ่งที่เรารัก แล้วคนที่เรารักไม่มีความสุข เราจะยังทำมันอยู่หรือเปล่า ?” คำถามของมิตรสหายท่านนั้นเหมือนทำให้เรารู้สึกถึงประโยคนี้ และมันน่าแปลกที่ใครหลายคนเลือกเหมือนกัน คือ การเลือกที่จะแคร์คนที่เรารัก ได้เห็นพวกเขามีความสุข มากกว่าที่จะก้าวไปทำตามสิ่งที่พวกเขามีความสุข โดยที่รู้ว่าคนที่เขารักจะมีความทุกข์ตามมา”

 

แน่ล่ะ บางทีเราอาจจะบอกว่า “ถ้าได้ทั้งสองแบบก็คงจะดี นั่นคือคนที่รักเราเข้าใจและปล่อยให้เราทำในสิ่งที่เรารัก หรือมาช่วยกันทำสิ่งที่เราทั้งคู่รักไปพร้อมๆกัน”

 

มาถึงตรงนี้ ไม่ว่าใครจะเลือกแบบไหน อย่างไร เราก็ไม่มีสิทธิไปตัดสินหรอกว่า เขาผิด เขาไม่ใช่ เขาเป็นคนที่ไม่เข้าใจโลก แต่สิ่งที่เราควรจะตั้งคำถามกับตัวเองก็คือ “เราซื่อสัตย์กับความต้องการของตัวเองมากแค่ไหน” หรือไม่ก็ยอมรับไปง่ายๆก็ได้มั้งว่า “สิ่งที่เรารักนั้นมันไม่มีจริงเท่ากับความรู้สึกที่เรามีให้กับคนที่เรารัก”

 

หรือจะมองให้ซับซ้อนกว่านั้น ก็คงต้องลงลึกต่อไปว่า “เอ๊ะ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าการที่เราเลือกอยู่กับคนที่เรารักนั้น เราจะยังรักเค้าตลอดไป (รวมถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อเราด้วยเช่นกัน) และถ้าวันหนึ่ง “ความรู้สึก” มันเปลี่ยนแปรผันไปเป็นอย่างอื่น เราจะไม่ยิ่งกล่าวโทษเขาหรือว่า เพราะเขานั่นแหละที่ทำให้เราไม่สามารถเดินตามความฝัน ทำในสิ่งที่รักได้ และจุดจบสุดท้ายมันก็คงไม่สวยงามสักเท่าไรนัก”

ผมเขียนตอบ Status เขาไปว่า “ถ้าต้องเลือก ขอเลือกอย่างหลัง เพราะเราไม่ได้เอาความสุขของเราไปฝากที่คนอื่นคนับ” ซึ่งมันอาจจะเป็นคำตอบที่กวนส้นตีนและสวนกระแสกับสิ่งที่ดีและแง่งามในการใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างความรักและความสุข

 

เพียงแต่ผมอยากแน่ใจว่า สิ่งที่ผมเลือกนั้นจะไม่ทำให้ชีวิตผมเป็นทุกข์ และผมจะได้รู้สึกสุขใจพอที่จะไม่กล่าวโทษว่าการเลือกของผมนั้นมันเป็นความผิดของใคร

 

… ยกเว้นตัวผม แต่เพียงผู้เดียว

 

 

-004 : เมื่อเราเติบโตขึ้น เรากลับพบว่าชีวิตมันไม่ได้ “อร่อย” เหมือนเคย

 

เมื่อเราเติบโตขึ้น

เรื่องที่รับรู้มันไม่ได้มีแต่อร่อยเหมือนเคย

ทำให้รู้สึกว่าแต่ก่อนเรานี่เป็นอีป้าโลกสวยในกะลาจริงๆ

แต่ก่อนเชื่อว่าชีวิตแม่มคอนโทรลได้สิ คนที่ยังคอนโทรลไม่ได้

 

อาจเป็นเพราะยังไม่เข้าใจตัวเอง ยังไม่เข้าถึงอะไรแบบนี้

ผมนั่งอ่าน Status ที่ว่านี้ในเพจๆหนึ่ง แล้วย้อนนึกถึงตัวเองในวันเก่าๆ กับประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตถึงระดับที่เรียกได้ว่าเข้าสู่วัยกลางคน สังเกตได้จากเส้นผมดำที่ลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ จนทำให้เราต้องคอยปกปิดความขาวด้วยสารเคมีที่ผ่านการคัดสรรว่ามาจากธรรมชาติ

 

ก่อนที่จะกลายเป็นโฆษณายาย้อมผมไปมากกว่านี้ คำถามที่มีอยู่ในใจก็เริ่มปรากฎชัดเจนขึ้นว่า ยิ่งเราเติบโตขึ้น สิ่งที่เราคิดนั้นควรเปลี่ยนแปลงไป หรือ ยังยึดมั่นอยู่กับมันเหมือนอย่างเดิม ถ้าให้ตอบแบบสวยงามตามเนื้อผ้าก็ควรจะมีทั้งสองอย่าง คือ สิ่งที่ดีควรจะยึดถือไว้ และ สิ่งที่ไม่ดีก็ควรจะเปลี่ยนแปลงไป

 

แต่หากตอบโดยมองโลกจากมุมมองของตัวผมเอง ผมเชื่อว่าทุกสิ่งที่เราคิดนั้นต้องเปลี่ยนแปลงไปเสมอ แต่เหตุผลที่บางความคิดยังไม่ถูกเปลี่ยนไปนั้น มันคงเป็นเพราะยังไม่มีสถานการณ์มากระทบให้เราต้อง “เปลี่ยน” มากกว่า

 

ลองจินตนาการเล่นๆขึ้นมาว่า ถ้าหากคุณเป็นคนที่ยึดมั่นในความดี แต่ถูกรังแกด้วยความชั่วช้าที่ถาโถมเข้ามาเรื่อยๆในชีวิต วันหนึ่งคุณอาจจะเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงกลายเป็นคนที่ไม่ศรัทธาความดีอีกต่อไป หรือต่อให้คุณกล้าบอกว่า คุณยังศรัทธาความดีอยู่ก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วสายตาที่คุณมองโลกนั้นก็จะไม่เหมือนเดิมอยู่นั่นแหละ นี่คือเหตุผลที่ผมให้คำตอบกับตัวเองว่า ทุกความคิดนั้นมีสิทธิ์เปลี่ยน

 

คำถามต่อมาหลังจากคำตอบว่า “ทุกคนทุกสิ่งล้วนต้องเปลี่ยนแปลง” คือ การเปลี่ยนแปลงที่ว่าอยู่ในระดับไหน ระหว่าง “ปัจจัยภายนอกที่มาตกกระทบให้ภายในเปลี่ยน” หรือ “ปัจจัยภายในเปลี่ยนเพราะอยากจะเปลี่ยนให้สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นดีขึ้นกว่าเดิม” กันแน่

 

และต่อให้ “ประสบการณ์เปลี่ยนเราแค่ไหน แต่สุดท้ายเราต้องเปลี่ยนตัวเอง” คำพูดคมๆคุ้นๆ ที่เคยบอกผมว่า ถึงแม้สภาพแวดล้อมหรือประสบการณ์ที่ว่านั้น มันคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตัวเราจากภายนอกและมันอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะสภาวการณ์ต่างๆล้วนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ตะกอนความคิดจากภายในที่ถูกสร้างขึ้นมาจากตัวเราเองนี่แหละ จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

 

ลองจินตนาการต่อไปว่า ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่เจอคนโกงมาเยอะมากๆ มันย่อมไม่แปลกที่คุณจะไม่ไว้ใจใคร (จากประสบการณ์) แต่ไม่ได้แปลว่าคุณต้องไม่ศรัทธาในความดี หรือยึดถือว่าสายตาที่คุณมองโลกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง (จากสิ่งที่อยู่ภายใน) และในขณะเดียวกัน ถ้าคุณเจอแต่คนดีมาโดยตลอด ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะสามารถไว้ใจใครได้ 100% จากโลกที่เราเจอ

 

“อย่าคิดว่าชีวิตมันจะนิ่ง ถ้าอายุมึงยังไม่ถึง 40”

 

คำพูดสั้นๆที่ผมจำขึ้นใจจากปากของพี่ที่เคารพ อาจเป็นหนึ่งแรงผลักดันที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านในช่วงวัยกลางคนกลับกลายเป็นการพยายามทำความเข้าใจโลก มากกว่าความพยายามที่จะสร้างโลกที่เราเข้าใจเหมือนอย่างในวัยก่อนหน้านี้

 

ในวันที่เราอายุ 20-30 โลกที่เราแบกไว้ดูเหมือนยิ่งใหญ่ เราเห็นใครหลายคนที่ประสบความสำเร็จจาก “ต้นทุน” ที่มีมาไม่เท่ากัน และ “ความสามารถ” ที่แตกต่างสร้างสรรค์จากธรรมชาติกอปรกับความพยายามที่จะสร้างมันขึ้นมาด้วยไฟของหนุ่มสาว

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป หากมีโอกาสได้ย้อนมองดูตัวเองในสิ่งที่ผ่านมา และมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงที่หนักหนาในวัยที่เกินกว่า 30 ปี การเสื่อมถอยของคนรุ่นก่อน ภาระความรับผิดชอบที่อาจจะไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเราเพียงคนเดียว ผูกพันลดเลี้ยวไปจนถึงความคงที่บางอย่างที่ “นิ่ง” จนอาจกลายเป็นหลุมพรางในการใช้ชีวิต ทำให้เริ่มรู้สึกสัมผัสถึงความซับซ้อนของการเป็นมนุษย์ และมันก็ทำให้สะทกสะท้อนใจไม่ใช่น้อยว่า

 

ไอ้ชีวิตที่เราคิดว่าเราเข้าใจนั้น…

จริงๆเราไม่ได้เข้าใจมัน .. แม้แต่นิดเดียว :)

 

 

-010 : เพราะมีอะไรให้เรียนรู้อีกมากมาย การเลือกเลยกลายเป็นสิ่งสำคัญ

– บัญชีของคุณถูกระงับการใช้งาน –

 

เช้าตรู่วันเสาร์ ผมได้รับข้อความนี้หลังจากกดปุ่มสีน้ำเงินเข้มในหน้าจอ Smartphone เพื่อเข้าสู่โลกออนไลน์อย่าง Facebook ก่อนที่จะพบว่าบัญชีถูกระงับการใช้งานและต้องถูก “ตรวจสอบความมีตัวตน” ของตัวเอง

 

เชี่ยยยยยยยย… กูไม่น่าอุตริไปเปลี่ยนชื่อโปรไฟล์ส่วนตัวเลย!! ผมอุทานในใจเมื่อคิดถึงสาเหตุที่ทำให้ถูกระงับการใช้งาน เนื่องจากความสนุกสนานเพียงชั่วครู่ ลองไปเปลี่ยนชี่อโปรไฟล์ของตัวเอง จากชื่อจริงภาษาอังกฤษ Thanom Ketem ให้กลายเป็น “พรี่หนอม” พยางค์เดียวสั้นๆแบบไม่มีนามสกุล (ใครอยากลองเปลี่ยน อ่านได้ที่ “วิธีเปลี่ยนชื่อเฟสบุค ไม่มีนามสกุล ด้วย Google chrome” )

 

เมื่อบัญชีถูกระงับการใช้งาน นั่นย่อมแปลว่าผมไม่สามารถจะเสือก เอ้ย เสพเรื่องราวและข่าวสารของชาวบ้านไปโดยปริยาย จะติดต่อใครผ่านโปรแกรม Chat ก็ไม่ได้ และที่สำคัญเพจที่ใช้ทำงานก็ไม่สามารถโพสได้ เหมือนถูกบังคับกลายๆให้หยุดใช้งานทั้งระบบ!

 

แต่ก็ดีเหมือนกันนะ.. จะได้เลิกติด Social ไปสักพัก #เสียงหล่อข้างในจิตใจของผมร้องทัก ระหว่างที่อัพรูปบัตรประชาชนส่งไปในระบบเพื่อยืนยันตัวตนกับทาง Facebook ให้บัญชีกลับมาใช้การได้อีกครั้งหนึ่ง

 

แหม่… ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า โลกที่ไม่มี Facebook นั้นช่างเงียบสงบ เพราะในวันนั้นทั้งวัน ผมไม่ได้พูดคุย (Chat) กับใครสักเท่าไร แถมปกติผมใช้ Facebook Messenger เป็นหลักมากกว่า Line ที่มักจะไว้อ่านเงียบๆ หรือนานๆเข้าไปดูที (ใครที่เคยคุย Line กับผมคงเข้าใจ เมื่อวันก่อนเพิ่งได้อ่านข้อความ Happy Birthday จากน้องคนหนึ่งที่ส่งมาตั้งแต่ปีที่แล้ว – -“)

 

ไม่น่าเชื่อเหมือนกันครับว่า … เมื่อไม่มี Facebook แล้วงานทั้งหมดก็เหมือนจะเสร็จรวดเร็วขึ้น อย่างที่บอกแหละครับว่า เมื่อไม่มีอะไรให้เข้าไป “เสพ” มันก็เลยทำให้ผมมีเวลา Focus กับการทำงานของตัวเองมากขึ้น งานที่คั่งค้างเหมือนกลางอาทิตย์ก็เสร็จสนิทในวันเสาร์เป็นที่เรียบร้อย – -”

– เมื่อถึงเวลาสำคัญ เราจะรู้ว่าอะไรมันจำเป็น –

 

สิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ควรทำ สิ่งที่เราทำ สามอย่างนี้คือสิ่งที่แตกต่างกัน เรารู้ว่าเราต้องออกกำลังกาย แต่ด้วยภาระงานทีต้องทำ กลับทำให้เราเลือกที่จะเสียเวลาโดยการนั่งอยู่เฉยๆ – ผมเชื่อว่าใครหลายคนเคยเป็นแบบนี้ ซึ่งมันฟังดูแล้วก็พิลึกดีเหมือนกันนะที่เรามักจะเลือกทำในสิ่งที่ไม่ควรทำและลืมสิ่งที่ต้องทำไปซะงั้นแหละ

 

เมื่อไม่ได้มองดูการเคลื่อนไหวของโลกภายนอกที่เร่งรีบ (ผ่านโลกออนไลน์) ผมรู้สึกคล้ายโลกออฟไลน์ของตัวเองหมุนช้าลง หนึ่งเรื่องที่เห็นคืองานที่เสร็จแบบรวดเร็วโดยที่ไม่ได้ตั้งใจอย่างที่ว่าไป สอง คือ เราได้นั่งมองและพูดคุยกับคนรอบตัวมากยิ่งขึ้น และสาม ผมเพิ่งรู้ว่า Facebook แม่งมีความสำคัญกับชีวิตเราขนาดนี้

 

เมื่อเราถูกจำกัดอะไรบางอย่างที่คุ้นเคยไป

เราอาจจะเข้าใจขึ้นมาว่าอะไรมันจำเป็นกับเราจริงๆ

 

น่าแปลกเหมือนกันที่ผมรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองถูก Facebook ระงับการใช้งาน แต่ทุกครั้งที่ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ผมก็ยังคงกดปุ่ม Logo ตัว F สีน้ำเงินรัวๆ เพื่อให้มันเข้าสู่ Application เดิมๆ เหมือนย้ำตัวเองว่าไม่สามารถเข้าสู่โลกนี้ได้อีกแล้ว

 

ถ้าหากบัญชีถูกระงับตลอดไป กูจะทำยังไงวะ? ความคิดนี้แล่นแปล็บบบพุ่งขึ้นมาในหัว หลังจากที่ผมลืมตัวจะเข้าไปกด Like เพจของนักเขียนฝรั่งท่านหนึ่งหลังจากที่อ่านหนังสือแปลของเขาจบ ชิบหายละ!! ถ้ากูโดนบล็อกขึ้นมาจริงๆ เพจของกู ช่องทางของกู และอื่นๆที่กูต้องใช้งานในโลกนั้น มันก็ต้องหายไปหมดสิวะ #ตัวกูของกู

 

นั่งคิดไปคิดมาระหว่างที่บรรจงพิมพ์ตัวอักษรลงคอมพิวเตอร์ สิ่งที่จำเป็นจริงๆกับเราในการใช้งานโลกออนไลน์ มันคือ ความพอดี ไม่ใช่แค่ “มี” หรือ “ไม่มี” แต่มันต้อง “มี” ในเวลาที่ใช้ และ”ไม่มี” ในเวลาที่ไม่จำเป็น ซึ่งเรานี่แหละที่ต้องเป็นคนมองเห็นมันด้วยตัวเอง

 

ภาวะข้อมูลท่วมท้น (Information Overload) คือ การที่เราตัดสินใจยากขึ้นเนื่องจากข้อมูลที่มีมากเกินไป จนทำให้เกิดความยุ่งยากและหลุดประเด็นไปโดยไม่รู้ตัว นี่คือนิยามของประโยคนี้ แต่ผมมักจะเรียกภาวะนี้ที่เกิดขึ้นกับตัวเองว่า Over information (ซึ่งน่าจะไม่ถูกไวยากรณ์สักเท่าไร – -“) และในหลายๆครั้งมันทำให้เราเหนื่อยจนไม่อยากรับรู้อะไร เพราะสมองถูกใช้ในการเสพเรื่องที่ไม่จำเป็นจนหมดแรง

 

ในโลกที่ “ง่าย” ขึ้น เราจะเห็นคนหลายๆคนมีช่องทางขับเคลื่อนให้ตัวเองเติบโตมากมาย เป็นผู้ประกอบการธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นกูรูมีความรู้ชื่อเสียง สร้างโอกาสต่างๆผ่านช่องทางที่เรียกว่า “เทคโนโลยี”

 

แต่ในขณะเดียวกัน เราก็เห็นคนที่แพ้และท้อแท้จากการ “ปรับตัว” แบบไม่ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนในทุกวันนี้ จนกลายเป็นว่าใครหลายคนกลายเป็นผู้ทำลายโอกาสในชีวิตของตัวเองด้วยตัวเอง

 

สำหรับผมแล้ว … ยิ่งเราเรียนรู้มากขึ้นเท่าไร ยิ่งเราเห็นอะไรมากขึ้น “โอกาส” นั้นจะผุดขึ้นมาราวกับเห็ดที่ขึ้นในป่าฝน แต่หน้าที่จริงๆของคนที่เห็นโอกาสนั้น คือ “การเลือก” โอกาสที่เหมาะสมและถูกต้องกับตัวเรา ซึ่งความสามารถในการเลือกนี่แหละ มันต้องใช้ประสบการณ์ ความสามารถ สัญชาติญาณ ที่แตกต่างกัน

 

เย็นวันเสาร์ มีอีเมลล์จากระบบเฟสบุ๊คส่งมาบอกว่า “บัญชีของคุณสามารถใช้งานได้ตามปกติ” ผม Log-in เข้าไปดูอย่างมีความสุข ราวกับคนที่เดินทางกลางทะเลทรายที่มองเห็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า

 

แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ.. หลังจากที่นั่งเสพเรื่องชาวบ้านไปได้สักพัก

ผมกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันสำคัญกับชีวิตผมเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป

 

… หรือผมกำลังเลือกอะไรบางอย่างให้กับตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว ?