034 : ขอบคุณ เดือน “กันยายน” เดือนที่เปลี่ยนแปลงผมเป็นคนใหม่

หนึ่งเดือนกว่าๆ ที่ไม่ได้มีเวลามาเขียนอะไรลงที่แห่งนี้ ทั้งๆที่ตั้งใจจะเขียนให้ได้อาทิตย์ละครั้ง แต่แล้วมันก็พังพินาศไปเกือบหมดอีกแล้ว  (TwT) ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะแรงกระทบที่เข้ามาสั่นคลอนอะไรหลายๆอย่าง ขอบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในเดือนนี้ ซึ่งผมคิดว่ามันหนักหนากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายนเสียอีก (อ่าน 022 – 025 : ประสบการณ์ในเดือนที่แย่ที่สุดของชีวิต)

1. ผมใช้เวลาช่วงหนึ่งนั่งดู Timeline เก่าๆใน Facebook ตัวเอง เพื่อที่จะค้นพบอะไรบางอย่าง แรงบันดาลใจ อดีตที่เปลี่ยนไป สิ่งที่เหมือนมีสาระในวันนั้นกลายเป็นสิ่งที่ไร้สาระในวันนี้

• เรื่องราวที่ผ่านมา ผมชอบเขียนวนไปวนมาอยู่ 2-3 ปี ทั้งเรื่องเงิน เรื่องกูรู เรื่องความสำเร็จ เรื่องแพชชั่น เรื่องหักมุมมั่วซั่ว แซะคนโน้น หยิบเรื่องคนนี้มามองในมุมของตัวเองบ้าง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความอยากมีตัวตนในแต่ละห้วงของความทรงจำ อีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความกระสันครั่นคร้ามในการพยายามจะสื่อความคิดของตัวเอง

• สิ่งที่เปลี่ยนไปในตอนนี้ นั่นคือความนิ่ง เมื่อก่อนผมสนุกกับการกระแทกแดกดันรุนแรง แต่วันนี้ความรู้สึกเหล่านั้นมันเลือนหายไป พร้อมกับคำถามว่าเราจะทำให้คนอื่นรู้ทำไมวะว่าเราคิดอะไรกับเขาอยู่?

• การคิดในวันนั้น ไม่ได้ทำให้หยุดเขียน แต่มันทำให้เรียนรู้และ ยึดมั่นในสิ่งที่เราเขียนต่อไป แม้ว่าจะไม่มีใครเห็น แต่ในอนาคตข้างหน้า ถ้าได้ย้อนกลับมามองดู ผมอยากได้รับความรู้สึกภูมิใจเหมือนกับในวันนี้อีกครั้ง

2. นิยายเรื่องแรกในชีวิตจบลงไปแบบงงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นมีความหลากหลายในอารมณ์มากมาย แต่สิ่งที่คิดได้ ณ วันนี้ นั่นคือ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ผมรู้ตัวดีไม่ควรพูดถึงมันอีกต่อไป ปล่อยให้เครื่อง “บิดเบือนความทรงจำ” ของคนทั้งหลายได้ทำงานด้วยตัวของมันเอง

สิ่งที่คิดได้ คือ ผมควรใช้เวลาขอบคุณหลายๆ คนที่ช่วยให้นิยายของผมนั้นสมบูรณ์มากกว่า ทั้งคนอ่านที่ติดตามกันมา กำลังใจในวันนั้นผมจะจดจำมันไม่ลืม ทั้งมิตรสหายหลากหลายที่ช่วยให้นิยายเรื่องแรกนั้นกลายเป็นเรื่องที่ถูกอ่านมากกว่า 10,000 ครั้ง สิ่งที่พวกเขาช่วยเหลือและทำให้ผมนั้นทำให้ผมรู้จัก “มิตรภาพ” ที่แท้จริง ที่ไม่ต้องแลกมาด้วยคำสวยๆ หรืออวยกันไปอวยกันมา แต่มันคือคนที่พร้อมจะช่วยเหลือเราโดยที่ไม่ได้หวังอะไรเลยแม้แต่น้อย

 

14448808_10153938869508450_1745171940789458663_n (1)

 

3. ภาพของการคิดใหญ่ โตตามฝัน พลิกชีวิตนั้น ค่อยๆห่างออกจากความรู้สึกไปเรื่อยๆ ผมนึกถึงวันที่บอกแม่ไว้ว่า “ถ้าหาเงินด้วยความสามารถได้เดือนละ 50,000 บาท ผมจะออกมาทำนู่นนี่ตามความฝัน” แต่พอถึงวันนี้ ผมคิดว่าความฝันของผมไม่ได้หยุดที่จำนวนเงิน และความยิ่งใหญ่เสียแล้ว

ผมชอบมองหาความเป็นฮีโร่ในคนธรรมดา คนที่ตั้งใจทำธุรกิจ หรือคนที่ประสบความสำเร็จและเลือกที่จะมีชีวิตเรียบง่ายในรูปแบบที่เขาต้องการ เพราะมันทำให้เรารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้น โดยที่ไม่ต้องประกาศกร้าวบอกใครให้รู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่า “ความสุข”

แน่นอน… การฝันใหญ่ยังคงไม่ใช่เรื่องผิดในยุคสมัยนี้ แต่ผมเริ่มหันมองความก้าวหน้าจากการสะสมความฝันทีละนิดอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น

ขอบคุณรอยยิ้มของเธอในวันนั้น และการสวมกอดของแม่ในคืนที่ควรจะหลับใหล ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ความสุขของชีวิตผมในอนาคตไปเสียแล้ว

4. สำหรับคนที่ทำงานหนักเพื่อคนอื่น ผมรู้สึกว่าเขาควรได้รับอะไรบางอย่างตอบแทน ถ้าไม่ใช่เงิน ก็คงเป็นความสุข แต่นอกเหนือจากสิ่งเหล่านั้น ผมคิดว่า “รอยยิ้ม” ที่เราส่งให้เขา ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ในอีกรูปแบบหนึ่งที่เขาสมควรได้รับ

5. เดือนกันยายน ทำให้รู้สึกถึงการเดินทางของปีใหม่ที่ใกล้เข้ามา เผลอแป๊บเดียวก็มาช่วงปลายปีแล้ว เลยถือโอกาสเอาสิ่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นปีมาปัดฝุ่นอีกรอบ เป็นโปรเจคส่วนตัวที่อยากทำมานาน และหยุดทำไปนานเพราะข้ออ้างในชีวิต

การทำ Podcast “โลกไปไกลแล้ว” เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เราเคยอยากจะทำเพื่อความมันส์และอีโก้ส่วนตัวล้วนๆ จนเกิดเป็นรายการ “ท่าแซะ” “เพลินจิต” และ “มักกระสัน” 3 ช่องทางที่เราหวังว่าจะสื่อสิ่งที่คิดไปได้มากกว่างานที่ทำอยู่ในตอนนี้

ถ้าใครอยากติดตามก็ติดตามได้ที่ SoundCloud โลกไปไกลแล้ว ครับ

6. “ดีใจที่ตัดสินใจมาหาหมอ” เป็นคำพูดของน้องคนหนึ่งที่ผมแนะนำให้ไปปรึกษาจิตแพทย์ เนื่องจากน้องมีปัญหาจากความเครียดในชีวิตและนอนไม่ค่อยหลับมานานมากแล้ว

ไม่รู้ว่ามันเป็นกฎแรงดึงดูด หรือความชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน หรืออะไรก็ตาม ทำให้ผมมีโอกาสได้เข้าไปรับรู้หรือมีส่วนร่วมของการเป็นโรคซึมเศร้าของใครหลายๆคน (รวมถึงจิตเภท) ส่งผลให้ผมต้องให้สนใจเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ประกอบกับการที่มีคนมาปรึกษาปัญหาชีวิตอยู่บ่อยๆ ทั้งๆที่เราเองก็ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการใช้ชีวิตซักเท่าไร

เมื่อก่อน ผมพยายามจะตัดสิน หรือแนะนำแนวทางตามความคิดของตัวเอง ซึ่งแน่ละว่า ผมมักจะจดจำสิ่งที่แนะนำแล้วสำเร็จมาเคลมว่าเป็นความเก่งกาจราวกับหมอดูชื่อดังที่แม่นทุกเรื่อง แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง ผมเพิ่งตระหนักรู้ได้ว่าชีวิตมันไมได้ง่ายอย่างนั้น และมันไม่ได้ง่ายพอที่คนเราจะนำคำแนะนำมาปฎิบัติกับปัญหาได้ง่ายๆ

ยิ่งโตขึ้น… ผมยิ่งรู้ตัวดีว่าปัญหาและความรู้สึกที่มีต่อปัญหาแต่ละคนแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงไม่ควรให้คำปรึกษาใครและตัดสินอะไรแบบพล่อยๆอีกต่อไป

สิ่งที่ผมเลือกทำในวันนี้ มีแค่การแนะนำสิ่งที่เขาควรทำเพื่อแก้ปัญหาที่ “จำเป็น” เพื่อให้ “อยู่ได้” ก่อน และถ้าหากเขาทำแล้วชีวิตมันดีขึ้นจริงๆ ผมว่าการแค่รู้สึกยินดีกับสิ่งเหล่านั้น มันก็เป็นความสุขในอีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกันนะ

 

แด่… เดือนกันยายน เดือนที่ผมตั้งคำถามเก่าๆกับตัวเองอีกครั้ง ถึงหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในเดือนนี้ว่า “ทำแล้วได้อะไรบ้างวะ” ซึ่งมาถึงตรงจุดนี้ ผมเองยังไม่คิดที่จะหาคำตอบให้กับมัน

 

เพราะการมีชีวิตที่มีความสุขนั้น…
มันไม่ควรต้งคำถามอะไรมากไม่ใช่หรือ?

-006 : “อัตตาและคุณค่า” ในคืนที่ผมถามตัวเองว่าเจอรักแท้แล้วหรือยัง ?

 

มันเป็นตอนเย็นหลังเลิกงานที่ฝนตกหนักกว่าที่เคย วันอังคารแบบนี้.. ฝนตก – รถติด – ชีวิตลำบาก และก่อให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดแกมรำคาญเมื่อได้ยินเสียงหยดน้ำที่ร่วงลงมาจากฟ้าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน

 

ผมยืนนิ่งๆ อยู่หน้าร้านตัดผมชายชื่อดังย่านสยาม พร้อมด้วยผมบนหัวที่ถูกเซตมาอย่างเรียบร้อย ถ้าใครบ่นว่าล้างรถแล้วฝนตก ความทุกข์ของผมคงมากกว่าพวกเขาตรงที่หัวของเราไม่มีรับประกันเซตใหม่ภายใน 24 ชั่วโมง

 

เสียงฝนตกหนักยามเลิกงาน เปรียบเหมือนสัญญาณที่ตอกย้ำความผิดพลาดในชีวิตของผมย้ำๆซ้ำๆ หลังจากที่ในวันนี้ต้องพบกับความผิดพลาดไปหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่ความตั้งใจแรกเริ่มว่าจะไปถ่ายรูปให้ – ครูเปิ้ล Mind Director – เพื่อนรักที่กำกับละครเวที “Love Game the Musical” ตอนทุ่มกว่าๆ โดยที่ทึกทักเอาเองว่า ทีมงานจะซ้อมกันที่โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ (ชั้น7 สยามสแควร์วัน) เหมือนกับวันแสดง แต่ความเป็นจริงคือซ้อมกันที่สตูดิโอย่านทองหล่อจ้า #เราคิดว่าควายน่ะควายแล้วแต่เราควายกว่า

 

เมื่อเข้าใจผิดไปตั้งแต่แรก แพลนที่วางไว้เพราะความคิดที่ว่า ไม่อยากเสียเวลาไปฟรีๆ ด้วยความที่ชีวิตในกรุงเทพเหมือนกับการแข่งขัน ทำอะไรต้องทำให้คุ้มตลอดเวลา และทุกๆวินาที ผมเลยตัดสินใจแวะมาตัดผมก่อน กะว่าเรียบร้อยก็จะไปโรงละครต่อแบบชิวๆ สรุปคือต้องเปลี่ยนแผนเป็นเดินตัวปลิวขึ้นรถไฟฟ้าไปทองหล่อซะงั้น ( – -“) และทั้งหมดนั้นคือสาเหตุที่ผมยังคงหงุดหงิดตัวเองอยู่เหมือนกับฝนที่ไม่หยุดตก

วันนี้ผมเห็นบทความเรื่อง “จุดอิ่มตัวของ Content Marketing บน Facebook” ถูกแชร์กันกระหน่ำมากมายวัวตายควายล้ม และมันคือบทความที่สะท้อนเรื่องจริงในยุคที่เรามีข้อมูลให้เสพจนล้นสมอง (Information Overload) แต่ยังคงมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่าเดิม เราจึงไม่สามารถยัดทุกอย่างเข้าไปในนั้นได้ทั้งหมด ถึงแม้หัวใจของเราจะต้องการแค่ไหน

บทเรียนของเรื่องนี้แปลว่าสิ่งที่เราต้องปรับตัวกันครั้งใหญ่สำหรับคนที่ใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือ คงไม่ใช่การสร้าง “ปริมาณ” หรือจำนวนผลงานออกมาให้มากขึ้น แต่คงต้องเป็นเรื่องของการ “คัดกรอง” และ “คัดสรร” เรื่องที่เราต้องการจะบอกให้โลกนี้รับรู้อย่างมี “คุณภาพ” มากขึ้นทดแทน และการแย่งชิงครั้ง “พื้นที่” ย่อมเกิดขึ้นวนเวียนไปไม่รู้จบ

 

สุดท้าย “คุณค่า” ก็ชนะเลิศครับ

พี่ที่ผมเคารพท่านหนึ่งพูดไว้แบบนั้น

 

ระหว่างที่กำลังใจลอยคิดเรื่องนี้อยู่ รู้สึกตัวขึ้นมาอีกที ผมกำลังเดินทางอยู่ในตู้โดยสารของรถไฟฟ้าที่ออกจากสถานีสยามไปทองหล่อ ด้วยสภาพที่เบียดแน่นยิ่งกว่าปลากระป๋อง ผสมผสานกับกลิ่นฝน กลิ่นเหงื่อ และความเหนื่อยหน่ายของคนหลายคนในรถไฟฟ้า ทำให้รู้สึกราวกับว่าบรรยากาศช่างชวนให้อึดอัดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

 

ในเมืองใหญ่แห่งนี้.. เราแข่งขันในทุกๆเรื่องจนเคยชิน ตั้งแต่แย่งกันกิน แย่งกันใช้ ร้านอาหาร ถนน ระบบขนส่งสาธารณะ พื้นที่ส่วนตัวต่างๆ ถูกบีบให้เล็กลงด้วยผลของการแย่งชิง ทุกวินาทีดูเหมือนจะมีค่า เพราะถ้าหากไม่ชนะขึ้นมาก็ดูเหมือนมันจะไร้ความหมาย แต่คิดอีกที เราจะเอาชนะคะคานกันไปทำไมในการใช้ชีวิตขนาดนั้น เพราะเราก็รู้กันดีว่ายิ่งรีบเร่งแค่ไหน บางครั้งก็ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรเร็วขึ้นกว่าเก่า

“สถานีทองหล่อ” เสียงสัญญานอัตโนมัติจากรถไฟฟ้าดังขึ้นบอกว่าผมไปถึงเป้าหมาย ลงจากสถานีไม่ทันไร น้องฝ้ายมายก็อดเนตไอดอลเจ้าของเพจเบียร์จ๋าฉันมาแล้วจ๊ะ ก็พูดแซวขำๆขึ้นมาว่า “โหยยพี่ .. แค่มาถึงก็เหนื่อยแล้วว่ะ กลับเลยดีกว่าไหม”

 

สายฝนที่สถานีทองหล่อไม่แตกต่างกับสถานีสยาม จนทำให้คำว่า “ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” กลายเป็นคำกล่าวอ้างที่เกินจริง เราสองคนตัดสินใจหาอะไรกินกันที่ปากซอย ก่อนที่จะเดินเข้าซอยไปที่สตูดิโอด้วยระยะทางประมาณ 500 เมตร

 

“พี่เอาถุงไหม” เนตไอดอลเจ้าเก่าเจ้าเดิม เพิ่มเติมคือยื่นถุงพลาสติกมาให้ ถ้าใครผ่านมาในช่วงนั้น คงได้เห็นบรรยากาศฝนพรำๆยามค่ำคืน ที่มีเด็กผู้หญิงหนึ่งคนถือร่มสีสดใส กับผู้ชายอีกหนึ่งคนที่มีถุงพลาสติกสีขาวคลุมหัว เดินเข้าไปยังสตูดิโอ พร้อมกับเสียงบ่นพึมพำไปตลอดทาง

 

ในแต่ละวัน เราตื่นแต่เช้าออกไปทำงาน พักเที่ยง ทำงานต่อ เลิกงาน กลับบ้าน วนเวียนหมุนเวียนไปปีแล้วปีเล่า เราทำงานได้มากขึ้น มีประสบการณ์และความรู้หลากหลายมากขึ้น รู้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องรู้เพิ่มขึ้น และลืมเรื่องบางเรื่องที่ควรรู้ไปโดยไม่รู้ตัว

 

เราบอกตัวเองว่าต้องรู้เพียงเพราะเราสนใจว่าเราอยากรู้หรือเปล่า เรื่องชาวบ้าน ข่าวสาร อาชญากรรม การเมือง เรื่องดารา หลอกลวง โป้ปดมดเท็จ เทคนิคการทำตัวให้อินเทรนด์เพื่อที่เราจะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโดยที่เราก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น

 

เราสร้าง “ความมีตัวตน” และค้นพบว่ามันคือ “อัตตา” ในการมีชีวิต ศักดิ์ศรี ความเคารพนับถือ ความเชื่อ ศรัทธา ตรรกะ หลอมรวมจนยึดติดว่ามันเป็นของเรา แต่เอาเข้าจริงเราต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่า ไม่ว่าเราจะพยายามมีตัวตนแบบไหน แต่สิ่งที่ใช้ตัดสินตัวตนเรากลับเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้อย่างสายตาคนอื่น

 

น้องฝ้ายนำทางมาจนถึงสตูดิโอในเวลาประมาณ 2 ทุ่มนิดๆ เลทกว่าเวลาที่นัดไปประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ พร้อมด้วยเสียงบ่นของผมที่บอกว่า “น่าจะขับรถมา” กระปอดกระแปด

 

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เข้ามาดูการซ้อม “ละครเวที” แบบสดๆ เพราะโดยปกติแล้วในสายงานที่ทำอยู่คงไม่มีโอกาสแบบนี้ ถ้าไม่มีเพื่อนเป็นผู้กำกับละครเวทีอย่างที่เป็นอยู่ (อิอิ)

 

ถ้าจำไม่ผิด ผมได้มีโอกาสดูละครเวทีครั้งแรกประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว น่าจะเป็นเรื่อง บางกอก 2485 เดอะมิวสิคัล ที่ หอประชุมใหญ่, ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่มีเมืองไทยรัชดาลัย) และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีโอกาสได้ไปละครเวทีที่เป็น Musical บ่อยๆ จนมาช่วงหลังๆ 5 ปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีเวลาไปดูเพราะเวลางานและข้อจำกัดชีวิตที่ขีดให้ตัวเอง บีบให้ต้องบริหารสมดุลของเวลาให้ดี

 

เมื่อก่อน ผมเคยสงสัยว่า “ทำไมบัตรละครเวทีมันแพงจังวะ” แต่เมื่อได้สัมผัสกับบรรยากาศของละครเวที ผมก็รู้ดีว่าต้นทุนของมันนั้นไม่ใช่น้อยเลย ทั้งนักแสดงทุกคนที่ต้องเป๊ะ (พลาดไม่ได้เพราะเล่นสด) เพลงประกอบ ฉาก คนทำงานเบื้องหลังและการเตรียมงานของมันก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ซึ่งถ้าลองหักลบคิดคำนวณออกมาแล้ว มันก็คุ้มราคาในระดับหนึ่ง ยิ่งถ้าหากคุณเป็นคนชอบงานประเภทนี้และสามารถจ่ายไปได้โดยที่ไม่มีปัญหา ผมก็แนะนำตรงๆว่ามันก็ไม่เสียหายอะไร (เพราะบางครั้งเราก็จ่ายเรื่องอื่นๆไปในราคาที่แพงกว่าเหมือนกันแหละ)

ผลงานละครเวทีหนึ่งเรื่อง กว่าจะมีภาพของความสำเร็จหน้าฉากออกมาได้งดงามขนาดนี้ หลายคนคงสงสัยว่าหลังฉากที่มีมันต้องวุ่นวายและเหนื่อยยากขนาดไหน นึกแล้วก็เหมือนกับเรื่องของความสำเร็จในชีวิตมนุษย์คนนึงที่มีแสงไฟสาดส่องให้คนมองเห็น แต่ก่อนที่ไฟจะฉายขึ้นมานั้น เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาผ่านอะไรมาบ้างขนาดไหน และสุดท้ายเมื่อไฟที่ฉายส่องนั้นดับลง เราจะยังคงจดจำเขาไว้ในลักษณะไหน

 

ในยุคที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง รวดเร็ว หลอมรวมกับความสำเร็จแบบว่องไว เราเห็นหลายคนเร่งส่องแสงไฟจนหลอดขาดแล้วระเบิดใส่หน้าแหกกันไปตามๆกัน เราเห็นไฟระยิบระยับแสบตากับความไม่พร้อมก่อนที่จะออกมายังหน้าเวที และเราเห็นสีหน้าแห่งความอับอายก่อนที่ไฟที่ฉายจะดับวูบลง

 

บางทีผมก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า

ในชีวิตของคนเราทุกคนนั้น …

เราจำเป็นต้องรีบเร่งกันถึงขนาดนั้นเลยหรือ

ผมยืนกดชัดเตอร์อยู่มุมขวาของห้องแบบเก้ๆกังๆ แบบไม่รู้จะไปทางไหนดี มือขวาถือกล้องที่หยิบยืมมาทำให้ปรับตั้งค่าไม่ได้อย่างที่ใจคิดสักเท่าไร ทำให้ต้องหันหน้าไปถามฝ้ายมายก็อดเป็นระยะๆ

 

ระหว่างที่หันมองซ้ายขวาหามุมถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ความรู้สึกที่มองในฐานะคนนอกที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงาน มองเห็นความวุ่นวายของการยกฉาก ยกไฟ มองเห็นส่งอุปกรณ์ประกอบฉากไปๆมาๆ แน่ละ เพราะว่ามันคือการซ้อมตามปกติ ผมจึงไม่มีโอกาสเห็นแสงไฟสาดส่องไปที่นักแสดงแต่ละคู่แต่ละคน ตอนแรกก็ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ค่อยได้ด้วยการที่มาสาย แต่ก็ใช้ความสามารถส่วนตัวพยายามที่จะปนตัวเองเข้าไปดูเนื้อเรื่องให้เข้าใจในที่สุด (นี่คงเป็นความสามารถพิเศษที่เราชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านแน่ๆ)

 

Love Game The Musical เป็นละครเพลงแนวใหม่ในสไตล์โมเดิร์น เรื่องราวของหนุ่มสาวสามคู่ที่เกิดจากการความต้องการแข่งขันด้านความรัก เพื่อให้ได้รับชัยชนะทางความรู้สึกในสังคม จนเกิดเรื่องสนุกสนานและวุ่นวายตามมา ถ้าใครสนใจเรื่องราวต่อจากนี้ ลองอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ครับ ก๊วนคานทอง Love Game The Musical

 

เรื่องราวในละครเวทีเรื่องนี้สะท้อนถึงความรัก ในแง่มุมของความพยายามที่จะมี “รัก” เพื่อให้เกิด “ชัยชนะ” ในเกมส์ๆ หนึ่ง แต่ดูละคร (เวที) แล้ว เราลองย้อนมาดูชีวิตจริงของตัวเองว่า “ความรักของเรากำลังทำให้เกิดทุกข์อยู่หรือเปล่า” ผมนึกถึงเรื่องของความสำเร็จในชีวิตคู่ที่ทุกคนต้องมีตามครรลองขึ้นมา เรียกได้ว่า ตาม Step ที่เราชอบสงสัยเรื่องของชาวบ้าน เอ๊ะ คู่นี้.. จีบกันหรือเปล่า เป็นแฟนกันหรือยัง แต่งงานเมื่อไร ทำไมยังไม่มีลูก คำถามคลาสสิกที่วนเวียนซ้ำๆ ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำเหมือนกับการแปรงฟันวันละ 2 ครั้งหลังอาหาร

 

แต่คำถามจริงๆ คือ ความรักของเรามันควรเป็นแบบนั้นหรือ ? ความรักไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจเหมือนฝนในหน้าแล้ง หรือควรเป็นเหมือนแดดอ่อนๆฉายมา ยามที่ฝนหนักๆได้ผ่านพ้นไป

 

ความรักที่ดี

ควรทำให้หัวใจของเรารู้สึกถึงคุณค่าของการมีชีวิต

มากกว่าการถูกลิขิตว่า

ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ตามที่ “สังคม” ต้องการ

 

ตัวตน อัตตา ที่มันมากเกินความจำเป็น (แน่ละส่วนนึงสังคมเข็นและผลักไสให้เราเป็นแบบนั้น) และอีกส่วนนึงมันคงมาจากความต้องการที่จะทำให้คนที่เรารักเป็นไปอย่างที่ตั้งใจ ทำไมเธอไม่เหมือนคนอื่น ทำไมชีวิตเราไม่ชื่นมื่นกับความผาสุกเหมือนที่ควรจะเป็นตามที่เห็นในสังคม

 

เรากำลังติดบ่วงอยู่กับ “ความพยายาม” ทำทุกอย่างให้ดีแบบสุดๆทาง จนลืมไปว่า ชีวิตคนเรานั้นไม่สามารถควบคุมอะไรได้ตามใจ ขนาดนั้นหรอก ผมเชื่อว่าคนที่มีความสุขในชีวิตนั้น เขามองเห็นสิ่งที่ควรทำ และ สิ่งที่ต้องทำ ของตัวเอง ได้อย่างชัดเจน มากกว่าการวนเวียนหมุนเวียนกับความพยายามเหล่านั้นปีแล้วปีเล่า จนสรุปสุดท้ายแล้วเราอาจจะลืมถามตัวเองไปว่า ที่มีความสุขอยู่ทุกวันนี้ มันคือความสุขจริงๆ หรือมันเป็นความรู้สึกที่ต้องมีความสุข

กล้องทำหน้าที่ของมันต่อไป ส่วนผมก็ทำหน้าที่กดรัวๆ ไม่ให้เสียดายเวลาที่มาทำหน้าที่ ผมมองเห็นนักแสดงหลักซ้อมกันอย่างขะมักเขม้น สลับกับภาพของนักแสดงประกอบ ผู้กำกับ คนควบคุมการแสดง และเสียงเพลงประกอบ หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไป

 

พวกเขาเหล่านี้มีเป้าหมายเดียวกันคือการตั้งใจทำงานในช่วงระยะเวลาหนึ่งร่วมกันให้ดีที่สุด ผมสัมผัสได้ถึงพลังแบบนั้นจากการนั่งมองอย่างไร้ตัวตน สลับกับการหมุนวนเดินไปกดชัดเตอร์ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง หลังจากองก์แรกของการซ้อมได้จบลง

 

ระหว่างการซักซ้อม ผมมองเห็น พวกเขาเล่นละครเวที ราวกับมีเพียงแต่พวกเขา ทั้งๆที่รอบๆนั้นเต็มไปด้วยผู้คนเดินไปเดินมา การผลัดเปลี่ยนฉาก เสียงหัวเราะ การตัดเข้าเพลง ฯลฯ หรือแม้แต่เสียงชัตเตอร์ของผมบางครั้งที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ก็ไม่ได้ทำให้สมาธิหลุดแต่อย่างใด

 

….หรือนี่คือโอกาส

ที่สอนให้ผมเข้าใจในเรื่องการ Focus ในสิ่งที่เราทำแบบจริงจัง

“กลับยัง รถไฟฟ้าจะหมดแล้ว”

“แต่อีกเดี๋ยวก็ได้มั้ง ใกล้จะจบแล้ว”

ห้าทุ่มเศษๆ ผมเหลือบดูข้อความจาก Facebook Messenger สลับกับฉากสุดท้ายของละครเวทีที่เต็มไปด้วยความสุข ภาพของงานแต่งงานที่พวกเขาร้องเล่นเต้นกันอย่างสนุกสนาน สลับกับเสียงหัวเราะที่ทำให้รู้สึกตรงกันข้ามกับความสดใสในช่วงเวลาที่กำลังจะเดินเข้าสู่วันใหม่อีกไม่นาน

 

ละครจบแล้ว ผมรีบเดินออกมา พร้อมกับน้องฝ้ายคนเดิม เพิ่มเติมคือรถไฟฟ้าใกล้หมด ส่วนการซ้อมนั้นยังดำเนินต่อไปในช่วงสุดท้าย นักแสดงและทีมงานยังคงต้องประชุมกันต่อไปเพื่อปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น

 

แน่ล่ะว่าการซ้อมวันนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา แต่ผมเชื่อว่ามีใครหลายคนกำลังเฝ้าคอยดูสิ่งที่ดีที่สุดในวันแสดงจริงอีกครั้งหนึ่ง

ระหว่างยืนคอยรถไฟฟ้ารอบสุดท้ายเพื่อนั่งกลับจากทองหล่อไปสยาม ผมถามตัวเองสั้นๆหลังจากการซ้อมละครเวทีเรื่องนี้จบลงว่า ตกลงแล้ว “รักแท้มีจริงไหม ?”

 

เมื่อพูดถึงคำว่า “ความรัก” เราทุกคนล้วนรู้สึกกับคำๆนี้ต่างกัน บางคนอาจจะรู้สึกสวยงามมันเหมือนอยู่ในความฝัน บางคนอาจจะรู้สึกว่าเหมือนกับมันไม่เคยเกิดขึ้น บางคนรู้สึกทุกข์ สุข และเหนื่อยเพราะความรัก แต่เชื่อเถอะว่า เราทุกคนล้วนต้องการความรัก อาจจะเพราะเราใช้ความรู้สึกของหัวใจมากกว่าสมองกับสิ่งนี้มาตั้งนานแล้ว

 

สุดท้ายแล้วผมได้คำตอบให้ตัวเองว่า ความรักมันคงไม่ได้เกิดมาเพื่อให้เราตั้งคำถาม แต่มันเป็นคำตอบที่สอนให้เราเรียนรู้และอยู่กับมันเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆบนโลกนี้

“สถานีสยาม” ฝ้ายมายก็อดโบกมืออำลาก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังสายสีลม ส่วนผมก็เดินเงียบๆผ่านความมืดในสยามแสควร์เพื่อไปยังที่จอดรถตรงตึกด้านหลังเพื่อขับรถกลับบ้านให้ได้นอนในวันที่ยาวนานแบบนี้เสียที

 

ระหว่างที่เดินไปที่รถ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความใน Facebook เช็ค Notification ที่เข้ามา สอดส่องเรื่องชาวบ้านอีกเล็กน้อย ก่อนจะปิดหน้าจอในโลกออนไลน์ลงไป และกดโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งในเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ

 

สำหรับคนปกติ เวลานี้คงไม่เหมาะที่จะคุยโทรศัพท์สักเท่าไร

และผมมั่นใจว่าใครคนหนึ่งกำลังรอโทรศัพท์สายนี้ของผมอยู่

… ด้วยความรู้สึกเล็กๆที่เรียกว่า “ความรัก” …

 

 

-010 : เพราะมีอะไรให้เรียนรู้อีกมากมาย การเลือกเลยกลายเป็นสิ่งสำคัญ

– บัญชีของคุณถูกระงับการใช้งาน –

 

เช้าตรู่วันเสาร์ ผมได้รับข้อความนี้หลังจากกดปุ่มสีน้ำเงินเข้มในหน้าจอ Smartphone เพื่อเข้าสู่โลกออนไลน์อย่าง Facebook ก่อนที่จะพบว่าบัญชีถูกระงับการใช้งานและต้องถูก “ตรวจสอบความมีตัวตน” ของตัวเอง

 

เชี่ยยยยยยยย… กูไม่น่าอุตริไปเปลี่ยนชื่อโปรไฟล์ส่วนตัวเลย!! ผมอุทานในใจเมื่อคิดถึงสาเหตุที่ทำให้ถูกระงับการใช้งาน เนื่องจากความสนุกสนานเพียงชั่วครู่ ลองไปเปลี่ยนชี่อโปรไฟล์ของตัวเอง จากชื่อจริงภาษาอังกฤษ Thanom Ketem ให้กลายเป็น “พรี่หนอม” พยางค์เดียวสั้นๆแบบไม่มีนามสกุล (ใครอยากลองเปลี่ยน อ่านได้ที่ “วิธีเปลี่ยนชื่อเฟสบุค ไม่มีนามสกุล ด้วย Google chrome” )

 

เมื่อบัญชีถูกระงับการใช้งาน นั่นย่อมแปลว่าผมไม่สามารถจะเสือก เอ้ย เสพเรื่องราวและข่าวสารของชาวบ้านไปโดยปริยาย จะติดต่อใครผ่านโปรแกรม Chat ก็ไม่ได้ และที่สำคัญเพจที่ใช้ทำงานก็ไม่สามารถโพสได้ เหมือนถูกบังคับกลายๆให้หยุดใช้งานทั้งระบบ!

 

แต่ก็ดีเหมือนกันนะ.. จะได้เลิกติด Social ไปสักพัก #เสียงหล่อข้างในจิตใจของผมร้องทัก ระหว่างที่อัพรูปบัตรประชาชนส่งไปในระบบเพื่อยืนยันตัวตนกับทาง Facebook ให้บัญชีกลับมาใช้การได้อีกครั้งหนึ่ง

 

แหม่… ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า โลกที่ไม่มี Facebook นั้นช่างเงียบสงบ เพราะในวันนั้นทั้งวัน ผมไม่ได้พูดคุย (Chat) กับใครสักเท่าไร แถมปกติผมใช้ Facebook Messenger เป็นหลักมากกว่า Line ที่มักจะไว้อ่านเงียบๆ หรือนานๆเข้าไปดูที (ใครที่เคยคุย Line กับผมคงเข้าใจ เมื่อวันก่อนเพิ่งได้อ่านข้อความ Happy Birthday จากน้องคนหนึ่งที่ส่งมาตั้งแต่ปีที่แล้ว – -“)

 

ไม่น่าเชื่อเหมือนกันครับว่า … เมื่อไม่มี Facebook แล้วงานทั้งหมดก็เหมือนจะเสร็จรวดเร็วขึ้น อย่างที่บอกแหละครับว่า เมื่อไม่มีอะไรให้เข้าไป “เสพ” มันก็เลยทำให้ผมมีเวลา Focus กับการทำงานของตัวเองมากขึ้น งานที่คั่งค้างเหมือนกลางอาทิตย์ก็เสร็จสนิทในวันเสาร์เป็นที่เรียบร้อย – -”

– เมื่อถึงเวลาสำคัญ เราจะรู้ว่าอะไรมันจำเป็น –

 

สิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่ควรทำ สิ่งที่เราทำ สามอย่างนี้คือสิ่งที่แตกต่างกัน เรารู้ว่าเราต้องออกกำลังกาย แต่ด้วยภาระงานทีต้องทำ กลับทำให้เราเลือกที่จะเสียเวลาโดยการนั่งอยู่เฉยๆ – ผมเชื่อว่าใครหลายคนเคยเป็นแบบนี้ ซึ่งมันฟังดูแล้วก็พิลึกดีเหมือนกันนะที่เรามักจะเลือกทำในสิ่งที่ไม่ควรทำและลืมสิ่งที่ต้องทำไปซะงั้นแหละ

 

เมื่อไม่ได้มองดูการเคลื่อนไหวของโลกภายนอกที่เร่งรีบ (ผ่านโลกออนไลน์) ผมรู้สึกคล้ายโลกออฟไลน์ของตัวเองหมุนช้าลง หนึ่งเรื่องที่เห็นคืองานที่เสร็จแบบรวดเร็วโดยที่ไม่ได้ตั้งใจอย่างที่ว่าไป สอง คือ เราได้นั่งมองและพูดคุยกับคนรอบตัวมากยิ่งขึ้น และสาม ผมเพิ่งรู้ว่า Facebook แม่งมีความสำคัญกับชีวิตเราขนาดนี้

 

เมื่อเราถูกจำกัดอะไรบางอย่างที่คุ้นเคยไป

เราอาจจะเข้าใจขึ้นมาว่าอะไรมันจำเป็นกับเราจริงๆ

 

น่าแปลกเหมือนกันที่ผมรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองถูก Facebook ระงับการใช้งาน แต่ทุกครั้งที่ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ผมก็ยังคงกดปุ่ม Logo ตัว F สีน้ำเงินรัวๆ เพื่อให้มันเข้าสู่ Application เดิมๆ เหมือนย้ำตัวเองว่าไม่สามารถเข้าสู่โลกนี้ได้อีกแล้ว

 

ถ้าหากบัญชีถูกระงับตลอดไป กูจะทำยังไงวะ? ความคิดนี้แล่นแปล็บบบพุ่งขึ้นมาในหัว หลังจากที่ผมลืมตัวจะเข้าไปกด Like เพจของนักเขียนฝรั่งท่านหนึ่งหลังจากที่อ่านหนังสือแปลของเขาจบ ชิบหายละ!! ถ้ากูโดนบล็อกขึ้นมาจริงๆ เพจของกู ช่องทางของกู และอื่นๆที่กูต้องใช้งานในโลกนั้น มันก็ต้องหายไปหมดสิวะ #ตัวกูของกู

 

นั่งคิดไปคิดมาระหว่างที่บรรจงพิมพ์ตัวอักษรลงคอมพิวเตอร์ สิ่งที่จำเป็นจริงๆกับเราในการใช้งานโลกออนไลน์ มันคือ ความพอดี ไม่ใช่แค่ “มี” หรือ “ไม่มี” แต่มันต้อง “มี” ในเวลาที่ใช้ และ”ไม่มี” ในเวลาที่ไม่จำเป็น ซึ่งเรานี่แหละที่ต้องเป็นคนมองเห็นมันด้วยตัวเอง

 

ภาวะข้อมูลท่วมท้น (Information Overload) คือ การที่เราตัดสินใจยากขึ้นเนื่องจากข้อมูลที่มีมากเกินไป จนทำให้เกิดความยุ่งยากและหลุดประเด็นไปโดยไม่รู้ตัว นี่คือนิยามของประโยคนี้ แต่ผมมักจะเรียกภาวะนี้ที่เกิดขึ้นกับตัวเองว่า Over information (ซึ่งน่าจะไม่ถูกไวยากรณ์สักเท่าไร – -“) และในหลายๆครั้งมันทำให้เราเหนื่อยจนไม่อยากรับรู้อะไร เพราะสมองถูกใช้ในการเสพเรื่องที่ไม่จำเป็นจนหมดแรง

 

ในโลกที่ “ง่าย” ขึ้น เราจะเห็นคนหลายๆคนมีช่องทางขับเคลื่อนให้ตัวเองเติบโตมากมาย เป็นผู้ประกอบการธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เป็นกูรูมีความรู้ชื่อเสียง สร้างโอกาสต่างๆผ่านช่องทางที่เรียกว่า “เทคโนโลยี”

 

แต่ในขณะเดียวกัน เราก็เห็นคนที่แพ้และท้อแท้จากการ “ปรับตัว” แบบไม่ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนในทุกวันนี้ จนกลายเป็นว่าใครหลายคนกลายเป็นผู้ทำลายโอกาสในชีวิตของตัวเองด้วยตัวเอง

 

สำหรับผมแล้ว … ยิ่งเราเรียนรู้มากขึ้นเท่าไร ยิ่งเราเห็นอะไรมากขึ้น “โอกาส” นั้นจะผุดขึ้นมาราวกับเห็ดที่ขึ้นในป่าฝน แต่หน้าที่จริงๆของคนที่เห็นโอกาสนั้น คือ “การเลือก” โอกาสที่เหมาะสมและถูกต้องกับตัวเรา ซึ่งความสามารถในการเลือกนี่แหละ มันต้องใช้ประสบการณ์ ความสามารถ สัญชาติญาณ ที่แตกต่างกัน

 

เย็นวันเสาร์ มีอีเมลล์จากระบบเฟสบุ๊คส่งมาบอกว่า “บัญชีของคุณสามารถใช้งานได้ตามปกติ” ผม Log-in เข้าไปดูอย่างมีความสุข ราวกับคนที่เดินทางกลางทะเลทรายที่มองเห็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า

 

แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ.. หลังจากที่นั่งเสพเรื่องชาวบ้านไปได้สักพัก

ผมกลับไม่ได้รู้สึกว่ามันสำคัญกับชีวิตผมเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป

 

… หรือผมกำลังเลือกอะไรบางอย่างให้กับตัวเองโดยที่ไม่รู้ตัว ?

 

-011 : ความสำเร็จของชีวิต.. ควรเริ่มต้นจากสิ่งที่เราไม่ชอบ

 

โดยปกติแล้วผมเองเป็นคนที่ไม่ค่อยใช้ “แรงบันดาลใจ” ในการขับเคลื่อนชีวิตสักเท่าไร อาจจะเพราะนิสัยดั้งเดิมที่เป็นคนที่ค่อนข้างจะแอนตี้กับแนวคิด “บวกๆ” ในระดับหนึ่ง (บางครั้งอาจถึงขั้นเกินงามจนอาจเกิดอันตรายต่อชีวิต) แต่ด้วยหน้าที่การงานที่ทำก็มักจะได้รับคำถามเรื่องการค้นหาตัวเองเป็นระยะๆ หรือได้ไปแชร์ประสบการณ์อะไรต่างๆให้กับคนรุ่นหลังฟังอยู่เสมอ (สั้นๆ แปลว่าผมเริ่มแก่นั่นเอง – -“)

 

อย่างล่าสุดเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปเป็น Guest Speaker ให้กับโรงเรียนสอนการแสดงชื่อดังแห่งหนึ่งย่านอารีย์ (Ideo Performing Arts School ของครูเปิ้ล Mind Director) ในหัวข้อเรื่อง Personal Branding และได้พูดถึงประเด็นเรื่องการ “ค้นหาตัวเอง” ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์และไม่อยากให้มันจบลงแค่เพียงในคอร์สนี้ ผมเลยตั้งใจบันทึกเป็นข้อเขียนเล็กๆไว้เผื่อว่าใครหลงเข้ามาอ่าน :)

 

สำหรับผมแล้ว การค้นหาตัวเองไม่ได้เริ่มต้นจากสิ่งที่เราชอบ หรือแม้แต่การทำตามความฝัน มองหาไอดอล ฯลฯ แต่ผมเชี่อว่าเราควรเริ่มต้นจากการหา “สิ่งที่เราไม่ชอบ” และเลิกทำมันไปทันทีเพื่อประหยัดเวลาชีวิต เพราะเราไม่มีทางรู้หรอกว่าเราชอบอะไร “จริงๆ” จนกว่าเราจะได้ลงมือทำและใช้เวลาเรียนรู้อยู่กับมันนานเพียงพอ

 

การใช้เวลาลงมือทำอะไรสักอย่างที่นานพอ เราจะรู้ว่า เรารู้สึกไม่ชอบอะไร เรารู้สึกเฉยๆกับอะไร ไปจนถึงเราชอบอะไร หรืออย่างน้อยต่อให้เราไม่รู้จริงๆหรอกว่าเราชอบอะไรก็ตาม แต่เราจะรู้แน่ๆว่า

 

“เราทำอะไรได้ดี ในระยะเวลาที่จำกัด

และได้รับผลตอบแทนที่เราพอใจ”

 

ผมขอเรียกมันรวมว่า “ประสบการณ์” เพราะประสบการณ์ที่ดี จะทำให้เราตัดสิ่งที่เราไม่ชอบออกได้ง่ายขึ้น และการเรียนรู้จากประสบการณ์นั่นแหละจะทำให้เรามีสัญชาติญานในการเลือกสิ่งที่ไม่น่าจะชอบได้ดีขึ้น เพราะจุดบอดของวิธีการนี้คือ คนทุกคนมีเวลาเรียนรู้จำกัด และถ้าหากใครที่ไม่ได้ค้นหาตัวเองตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาวก็คงจะลำบากมากๆที่จะต้องลงมือทำทุกอย่างเพื่อค้นหาในช่วงเวลาที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่มีภาระในทุกๆวันนี้ ดังนั้น ประสบการณ์คือส่วนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตเราให้ “ตัดสินใจ” ง่ายขึ้น

 

หลังจากนั้นประสบการณ์ที่ดีและมากเพียงพอในระดับหนึ่ง จะค่อยๆดึงดูดหาโอกาสเข้ามาให้กับเราผ่านทางช่องทางใดช่องทางหนึ่งเองโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ที่น่าตลกร้ายก็คือ โอกาสมักจะมาตอนที่ไม่พร้อม นั่นคือ ไม่พร้อมลงมือทำเนื่องจากไม่มีเวลา กับ ไม่พร้อมเพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลาของเรา

 

โดยปกติแล้ววิธีการจัดการกับ “โอกาส” ที่เข้ามานั้น มักจะอยู่นอกเหนือจากประสบการณ์ของเรา แต่สิ่งที่เราทำได้แน่ๆ คือการตัดสินใจที่จะเปิดรับทุกๆ “โอกาส” ที่เข้ามา เพราะการที่เราได้รับโอกาสย่อมแปลว่าคนอื่นมองเห็นว่าเราสามารถทำได้

 

ในทุกๆ โอกาส…

ถ้าเรามีความรู้สึก “อยากทำ” มากพอ

เราจะจัดสรรหาเวลามาลงมือทำมันได้อยู่ดี

 

ส่วนตัวแปรสุดท้ายที่สำคัญและจะเป็นตัวจัดระเบียบให้ทุกอย่างหล่อหลอมไปด้วยดี คือ “วินัย” เพราะวินัยจะทำให้เราสามารถทำอะไร “ซ้ำๆ” ได้ และมันจะกลับไปทำให้เกิด “ประสบการณ์” ที่ดี รวมถึงบังคับให้เราใช้ “เวลา” จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นได้เรื่อยๆแม้จะไม่มีความอยากทำต่อแล้วก็ตาม … นั่นแหละมันจะพาเราไปพบกับ “โอกาส” ที่เข้ามา และสุดท้ายเราเองก็จะรู้ว่า เรา “ไม่ชอบ” อะไร ก่อนที่จะวนกลับไปเริ่มต้นสร้าง “วินัย” กับสิ่งใหม่

 

สุดท้ายแล้วการเดินทางสู่ความสำเร็จมีอยู่ 2 วิธี คือ การอดทนทำสิ่งที่เราอยู่กับมันซ้ำๆไปเรื่อยๆจนเจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ กับ เลิกทำสิ่งที่ไม่เวิร์กแล้วไปหาอะไรใหม่ที่เราสามารถอดทนทำมันได้ซ้ำๆไปจนถึงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเชื่อว่าการที่รู้ตัวว่าเราไม่ชอบอะไรนั้น มันจะเข้ามาช่วยลดระยะเวลาในการ “หาสิ่งใหม่ๆ” ได้ง่ายขึ้น

 

แต่อย่าลืมละกันว่า… ทั้งหมดนี้มันเป็นเพียงแค่ประสบการณ์ของผมเอง ใครทีได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ก็ขอบอกว่าคุณไม่จำเป็นต้องเชื่อ ต้องมาทำตาม หรือถ้าหากว่าคุณคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ก็ขอให้คุณมองผ่านมันไปแล้วบอกกับตัวเองว่า ชั้น “ไม่ชอบ” ในสิ่งที่ไอ้นี่มันเขียนเลยแม้แต่นิด พร้อมกับกดปิดหน้าจอนี้ลงไป

 

… แล้วรีบเดินทางไปหา “แรงบันดาลใจใหม่” อย่างที่คุณต้องการ :)

 

 

-016 : 1 ปีที่ผ่านมา… กับบทสัมภาษณ์ที่ไม่เคยมีใครได้อ่าน

 

บทสัมภาษณ์นี้เป็นบทสัมภาษณ์ที่ผมถูกถามไว้เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ผมเอากลับมาเรียบเรียงใหม่ด้วยตัวเองอีกครั้งและลงเป็นที่ระลึกไว้ในที่นี้ เพราะบทสัมภาษณ์ฉบับนี้คงไม่ได้ถูกตีพิมพ์อีกแล้วครับ

Q : แนะนำตัวหน่อยครับว่าพี่เป็นใครมาจากไหน ?

 

สวัสดีครับ พี่ชื่อ “หนอม” ครับ ถนอม เกตุเอม เจ้าของเพจ TAXBugnoms เป็นบล็อกเกอร์ด้านภาษีและการเงิน วิทยากร นักเขียน อาจารย์พิเศษ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต แล้วก็เป็นข้าราชการในหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งครับ

 

จบการศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโทด้านบัญชีครับ แล้วประกาศนียบัตรด้านภาษีอากร ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เคยทำงานเป็นผู้ช่วยผู้สอบบัญชีอยู่ที่สำนักงานสอบบัญชีแห่งหนึ่งครับ  แล้วก็เคยทำธุรกิจบ้าๆบอๆมากมายตั้งแต่ขายตรงไปจนถึงทำเว็ปไซต์ครับ

Q : พี่มาเริ่มทำเพจ Taxbugnoms ได้ยังไงครับ

 

มันเริ่มมาจากตอนที่ตัวเองลาออกจากงานด้านสอบบัญชี มาเป็นข้าราชการ ตอนนั้นก็รับทำงานหลายแบบ ทั้งพวกพวกโปรโมทเวปไซด์ รับทำปรับแต่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ติดอันดับกูเกิ้ล (SEO) ทำพวก Affiliate ต่างๆ แล้วก็ได้มีโอกาสมาเรียนปริญญาโทด้านบัญชีที่จุฬา โดยมีวิชาหนึ่งชื่อว่า “บัญชีภาษีอากร” ทีนี้ที่เรียนปริญญาโทอยู่มันจะมีเพื่อนๆแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ช่วยกันถอดเทปออกมาเป็นชีทไว้อ่านสอบ ช่วยๆกันสรุปข้อมูลอะไรแบบนี้

 

ตอนนั้นเราก็ทำงานที่เกี่ยวกับด้านภาษีอยู่แล้ว เราก็เห็นว่าเรามีข้อมูลตรงนี้ เราทำเวปไซต์เป็นด้วย และตอนนั้นมันยังไม่มีใครทำเรื่องพวกนี้เลย เราก็สงสัยว่า เออ… แล้วทำไมไม่มีใครพูดเรื่องภาษีง่ายๆวะ เพื่อนๆ หรือคนรู้จัก เวลามีปัญหาภาษีอะไรก็มักจะโทรมาถามตลอด ตอนนั้นรู้ตัวเองนะว่าไม่ได้เก่งเรื่องภาษีมากหรอก แต่ว่าโอเคเรียกว่าพอรู้เรื่อง พอมีความเข้าใจในระดับนึง

 

ทีนี้.. พอได้โอกาสลงมือทำ มันก็เหมือนกันเอาความรู้มาพัฒนาตนเอง เลยทำ Blog ชื่อว่า “บล็อกภาษีข้างถนน” (tax.bugnoms.com) ข้อมูลในการทำเวปไซด์ตอนแรกก็เอามาจากไฟล์ที่เพื่อนๆถอดเทปมานี่แหละ เอามาเขียนใหม่ให้มันเป็นภาษาตัวเอง ตอนแรกก็ยังเป็นภาษาทางการอยู่แหละ

 

แรกๆที่ทำบล็อกเนี่ย ไม่มีคนดูเลย คนเข้ามาวันละ 10 – 20 คนเองมั้ง ผ่านไปประมาณ 2 ปี เราก็เริ่มมาทำ Facebook Fanpage ขึ้นมาในชื่อ TAXBugnoms นี่แหละ ตอนนั้นได้ทางเพจ Thailand Investment Forum มาช่วยแนะนำ ซึ่งมันก็เกิดจากความหน้าด้านของเราเองนี่แหละ เราส่งข้อความไปทาง Message แนะนำตัวกับทางพี่เค้าว่า ”ผมกำลังทำเพจชื่อนี้อยู่ครับ มีรายละเอียดยังงี้ๆๆๆ ถ้าสนใจและคิดว่าดี ผมอยากให้พี่แนะนำให้หน่อยครับ (คือหน้าด้านมากเลยกูเนี่ย)”

 

หลังจากนั้นพี่เค้าก็ตอบกลับมา และช่วยแนะนำให้ ตอนนั้นจำได้ว่ามีคนกด Like เพจอยู่ประมาณ 800 คนได้ พอพี่เค้าแนะนำเพจให้ก็ขึ้นมา 2,000 กว่า ๆ เรานี่แบบโคตรดีใจชิบหายเลย คิดว่าสุดยอดแล้วนี่ชีวิตกู ประสบความสำเร็จมากๆแล้วในตอนนั้น (หัวเราะ)

 

ทีนี้พอเริ่มมีคนรู้จักเพิ่มขึ้น มีคนช่วยแนะนำเพจเพิ่มขึ้น อย่างจ่าพิชิต Drama-Addict ก็เคยช่วยเหลือ มันก็เลยมีคนเข้ามาถามคำถามบ่อยขึ้น จนรู้แล้วว่าอ้อมันมีแนวทางหรือเรื่องที่อยากรู้แบบไหน เราก็เขียนบล็อกเพิ่มใส่สไตล์ของตัวเองเข้าไปมากขึ้น

 

ประกอบกับ ช่วงนั้นก็เริ่มมาสนใจด้านการลงทุนพอดี (ประมาณ 3-4 ปีก่อน) คือ เริ่มลงทุนมาได้สักพักก็เลยแชร์ประสบการณ์ความรู้ด้านการลงทุนของตัวเองแบบผิดๆถูกๆ หมายถึงเรื่องที่เราผิดพลาด หรือเรื่องที่เราทำได้ เพราะเรามองตัวเองเสมอว่าเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เราเป็นเหมือนกับชาวบ้านที่คิดลงทุนเหมือนๆกันแต่แค่มาแชร์ประสบการณ์ให้คนมีความสนใจมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเราก็ใช้เงินแบบว่าแย่มาก

 

Q : เล่าเรื่องนี้ให้ฟังหน่อยครับ ที่บอกว่าใช้เงินแย่มาก

 

คือตอนแรกทำงานเอกชนได้เงินเดือนสูงสุดตอนนั้นประมาณ 3-4 หมื่นบาท และให้ที่บ้านประมาณ 2 หมื่นบาท ส่วนเงินที่เหลือทั้งโอที ค่าจ็อบอะไรพวกนี้เราเอามาใช้หมดเลย ตอนนั้นแฮปปี้สุดๆ เราคิดว่าโคตรรวยเลย เรียกได้ว่า อะไรที่อยากได้ เราซื้อหมดเลย โคตรเปลืองเลยครับ

 

เรื่องกินก็เหมือนกันต้องกินหรู กินข้างถนนไม่ได้ มันร้อนต้องเข้าห้าง ตอนนั้นเราทำงานแถวๆย่านกลางเมือง เราก็กินทุกวันแหละ ของดี สิ้นเดือนก็หมดตัว แต่ว่าไม่รู้สึกอะไร แต่พอเวลาผ่านไปเราก็เริ่มมองเห็นว่า เฮ้ย แล้วทำไมคนอื่นมีเงินทำไมเราไม่มีเงิน (อ้อ..เพราะเค้าเก็บเงินไง)

 

เราก็เริ่มมาบริการจัดการชีวิตใหม่ เริ่มบริหารเงิน จัดการชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นตามความสามารถ ยิ่งพอย้ายมาทำราชการ เงินเดือนละฮวบเหลือไม่ถึงหมื่น มันยิ่งตอกย้ำว่า เฮ้ย …เราต้องรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว

 

Q : แล้วแบบนี้พี่ไม่ลำบากหรอครับ ?

 

มันถือว่าเป็นเรื่องโชคดีอยู่อย่างหนึ่งที่ว่า ต้นทุนทางบ้านของเราโอเค มีฐานะในระดับหนึ่งไม่ได้ลำบากที่เราต้องไปช่วยเหลือ ขอแค่อย่างนึงที่เราเตือนตัวเองเสมอก็คือ อย่าไปทำให้เค้าต้องลำบากเพราะเรา ดังนั้นเราก็ควรรับผิดชอบตัวเองบ้าง อย่าสปอยตัวเอง ถ้าเค้าถามว่ามีเงินไหม เราก็บอกมีเงิน ถีงไม่มีเงินเราก็บอกว่ามี พยายามหาเงิน หารายได้อื่น จัดการชีวิตตัวเองไม่ให้ต้องพี่งใคร แล้วก็จะได้กลับไปดูแลเขาได้บ้าง จำได้ว่าตอนนั้นก็ไม่ซื้ออะไรเลย ข้าวเช้ากินบ้านข้าวเย็นก็กินบ้าน

 

หลังจากทำราชการชีวิตก็เปลี่ยนเลย แต่ก่อนไอ้ที่กินนู่นนั่นนี่ไม่ได้ กระแดะคิดว่าตัวเองเป็นคนเจ๋ง คนคูล พอไปอยู่อีกสังคมหนึ่ง เราสำนึกเลยว่า เฮ้ย … บางอารมณ์เงินแม่มไม่ใช่คำตอบ บางคนเขามีความสุขมากกว่าคนมีเงินเยอะๆเสียอีก เราเลยนึกได้ว่า โอเค.. เงินมันไม่ได้สำคัญกับชีวิตมาก ถ้าหากเราบริหารจัดการเงินเป็น สุดท้ายมันก็ค่อยๆเปลี่ยนตัวเรามาให้จัดการชีวิตตัวเอง เริ่มมาทำงานเขียน หาความรู้ ทำเพจอย่างที่เล่าไป … จนมาถึงทุกวันนี้

Q : ตอนนี้พี่ทำเพจมาประมาณ 5 ปีแล้วพี่ได้อะไรบ้าง ?

 

อย่างแรกที่แน่ๆ คือความรู้เพิ่มขึ้น อย่างที่บอกว่า แต่ก่อนตัวเองก็อาจจะพอรู้เรื่องของภาษีแต่มันก็เป็นในระดับของคนที่เรียนทฤษฏีมา แต่พอมาทำเพจด้านนี้ เราจะได้ความคิด มีคนมาแชร์ ได้เปิดกะโหลกมากขึ้น

 

อย่างที่สองคือ ได้รู้จักคนมากขึ้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่ตลกมาก ต้องเล่าก่อนว่าเมื่อก่อนเป็นคนที่แบบอินดี้มาก คือไม่ชอบรู้จักคน ไม่อยากรู้จักใคร ไม่ชอบเจอคน ไม่ชอบคุยกับใคร ไม่ชอบไปทำความรู้จักคน เรื่องเยอะมากกกกก แต่พอมาทำเพจ ทำให้เราต้องรู้จักคน และการรู้จักมันทำให้มีโอกาสเข้ามา จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนเรียกไปพูด ตื่นเต้นมาก เมื่อก่อนเป็นคนที่พูดไม่เป็นเลย อายมาก เป็นพวกเล่นมุขขำๆอยู่ในหมู่เพื่อนฝูง แต่พอออกไปข้างนอกก็จะเงียบๆกลัวๆ

 

ทีนี้มีคนจ้างไปพูด ครั้งนั้นมันเลยเปลี่ยนชีวิตเราเลย คือไอ้ความกลัว ความไม่ชอบมีนะ มีเยอะด้วย แต่คิดอย่างเดียวว่า ถ้าหากวันนี้ไม่กล้าเริ่มออกไปซักครั้ง เราก็คงไม่ได้ก้าวอีกแล้ว ก็เลยตัดสิน เอาวะ!! ไปก็ไป

 

ถามว่าดีไหม เราเชื่อว่า มันดีที่สุดแล้วนะ ณ ตอนนั้น กลับมานั่งถามตัวเองว่า เฮ้ย กูพูดได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ แถมแม่งยังได้เงินมาด้วย มันก็เริ่มเปลี่ยนทัศนคติตัวเองไป

Q : พี่มองตัวเองในอีก 2-3 ปีข้างหน้ายังไงบ้างครับ

 

คร่าวๆที่วางไว้ คงจะต้องเชี่ยวชาญภาษีมากขึ้นนะ คือ พอปีนี้ (2015) มาได้ร่วมงานกับ Aommoney เราก็จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ Aommoney จะเป็นความรู้สำหรับคนที่เป็นมือใหม่ถึงระดับกลางในเรื่องของภาษี แต่บล็อกที่เราเขียนอยู่เดิม จะทำให้มันเป็นเรื่องที่ยากขึ้น มีการวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดทางด้านภาษีให้ชัดเจนมากขึ้น

 

ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็คงเหมือนเดิมนะ เราว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่หาอะไรเพิ่มในวันนี้ แต่เป็นการเหลาอาวุธที่เรามีให้มั่นคงจะดีกว่า ถ้าอาวุธที่เรามีมันดีพอ มันจะช่วยต่อยอดให้เราเก่งขึ้น และมันจะพาไปสู่ด้านอื่นเอง

Q : พรี่หนอมคิดว่า เราควรคิดถึงคนอื่นตอนไหนครับ หมายถึงในแง่การช่วยหรือให้ความรู้คน คนที่จะสอนคนอื่นได้ จำเป็นต้องสำเร็จมาก่อนแล้วหรือเปล่า

 

มันมี 2 มุมมองนะ มุมแรก.. คนเราจะคิดถึงคนอื่นตอนที่ตัวเองมีพร้อม กับอีกมุม คือ คนเราคิดถึงคนอื่นตอนที่เราอยู่ระหว่างทางเดิน แต่ว่าคุณก็ไม่รู้หรอกว่าจุดไหนคุณจะพร้อม ดังนั้นจุดที่คุณควรจะเริ่มคิดได้คือจุดที่คุณไม่ได้ลำบากเกินไปที่จะช่วยคน และก็มีเวลาพอที่จะช่วยเหลือเขา

 

เหมือนเราไปทำบุญที่วัดเราอาจจะทำ 20 บาทก็ได้ นั้นก็คือจุดที่เริ่มคิดถึงคนอื่น คุณไม่ต้องรอให้มีแบบ 100 ล้าน ผมทำจะ 2 แสน แบบนี้มันเสียเวลาไง

Q : สิ่งที่ดีที่สุดในความเป็นพรี่หนอม คืออะไร?

 

เป็นคำถามที่ดีนะ ชอบมากเลย พี่ว่ามันคือการปรับตัวนะ คือ ทุกวันนี้กูอยู่กับใครก็ได้ ถึงแม้มันจะแบบมีไม่ชอบบ้าง ทรมานบ้าง แต่การที่เราปรับตัวยอมรับเพื่ออยู่กับคนอื่นและตัวเองได้ มันเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่ามันดี .. อย่างน้อยมันดีสำหรับเราเองแหละ

Q : จากที่รู้จักพี่มา ผมมั่นใจว่าพรี่หนอมน่าจะได้ค้นพบและทำความรู้จักกับดาร์คไซค์ของตัวเองแล้ว มีวิธีการจัดการ การควบคุมมันยังไง

 

เรื่องนี้ไม่ต้องคิดอะไรมากนะ คิดแค่ว่าแบบคุณไม่ชอบให้ใครทำอะไรกับคุณ คุณก็อย่าไปทำอะไรกับเค้า คือการที่เราอยากทำเหี้ย เราหงุดหงิด อยากด่าคน อยากโวยวาย แต่คิดกลับกัน เค้าหงุดหงิดแต่เค้าควบคุมอารมณ์ที่จะไม่ด่าเราได้เราก็แฮปปี้ ดังนั้นเราตั้งตัวเองไว้เลยว่า เราไม่ชอบอะไร เราอย่าไปทำกับคนอื่น อันนี้มันเป็นกฎเหล็ก

 

ถ้าเราไม่ชอบอะไรซักอย่างแล้วเราไปทำเอง แปลว่าคุณยังควบคุมตัวเองไม่ได้ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบอกว่าไม่ชอบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่มีหลุดนะ ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เรามีหลุดเสมอแหละ แต่สิ่งที่เราทำได้คือเรียนรู้แล้วก็ปรับตัวให้มันดีขึ้นจริงๆ

Q : สิ่งที่เป็นเเรงผลักดัน ที่ทำให้พรี่หนอมสามารถให้ความรู้ผ่านทางบล็อกภาษีข้างถนนแบบต่อเนื่องมาตลอดเวลานานแสนนานแบบนี้คืออะไร ผมมองว่ามันยากนะ ที่จะทำแบบสม่ำเสมอ ในยุคแรกๆที่บล็อก หรือเพจให้ความรู้ ยังไม่เป็นที่สนใจขนาดนี้

 

การทำอะไรซักอย่าง มันต้องมองว่าเราได้อะไรนะ พูดอีกอย่าง เวลาเราทำอะไรซักอย่าง ต้องมองว่าคุณได้อะไรจากการทำยังงั้น

 

อย่างน้อยพี่ได้ทบทวนและสร้างเสริมความรู้ตัวเอง พี่ได้รู้ทางตัวเองว่าอยากจะเป็นคนที่รู้จริงด้านภาษี รู้เป้าหมายตัวเอง ทีนี้ก็กลับไปคำถามเมื่อกี้ที่บอกว่า ทำไมต้องให้คนอื่น ทั้งๆตอนนี้ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองพร้อม ตัวเองเก่งภาษี แต่ถ้ามีความรู้ที่ถ่ายทอดได้ เราให้เค้าไป มันก็เป็นระหว่างทางที่เราเดิน เราได้ประโยชน์ ได้ทบทวน คนอื่นก็ได้ประโยชน์ ได้ความรู้เพิ่มในสิ่งที่เราเขียนได้ มันก็ Win-Win ทุกคนนะ

 

ถามว่าอะไรผลักดันมาตลอดหลายๆปี ถ้าจะมีสิ่งผลักดันได้ก็น่าจะเป็น การที่ใครสักคนเห็นประโยชน์ของงานเรา อาจจะเป็นข้อความขอบคุณง่ายๆ กำลังใจเล็กน้อยๆจากอีเมลล์ ทำงานแล้วได้เงินบ้าง ได้รู้จักได้อนาคตต่างๆบ้าง มันก็ไม่ทำให้เราหยุดเขียนได้หรอก คือมันเป็นไปไม่ได้หรอกว่าเราอยู่ด้วยการถึกควายโบ้ทำอะไรนานๆต่อกัน แต่ว่าถ้าในจุดที่เราท้อแล้วมีอะไรมาแบบดันขึ้นมา สิ่งนี้มันจะทำให้เราลุกขึ้นได้ง่ายขึ้น

Q : Mindset สำคัญ ที่คนเป็นต้นแบบ หรือกูรู จำเป็นต้องมี

 

(อันนี้คิดมานานมาก) สิ่งที่กูรูทุกคนต้องมีคือ ความซื่อสัตย์ ไม่ใช่ซื่อสัตย์ไม่คดโกงใครนะ ซื่อสัตย์ในที่นี้คือในเมื่อเราเป็นคนให้ความรู้คน สิ่งไหนที่คุณไม่รู้คุณก็บอกไม่รู้ ยอมรับไปเลย มันคือความจริง

 

เรามองว่าอันนี้มันจำเป็นมากนะ เพราะถ้าคุณไม่รู้แต่เสือกบอกว่ารู้ มันไม่ใช่กูรู คุณแม่งมั่วแล้ว สิ่งที่สำคัญสำหรับผู้รู้คือรับผิดชอบในสิ่งที่เราให้ไป สิ่งที่เราเขียน สิ่งที่เราพูด และต้องรับผิดชอบให้ได้

 

เพราะมันจะมีจุดหนึ่งคือพอกูรู้เยอะๆ มันจะมี Super E-go พลังงานบางอย่างขึ้นมาว่า เฮ้ยๆๆๆ กูต้องรู้ทุกเรื่อง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ยังไง มันก็มีบางคำถามที่พี่อาจตอบไม่ได้ พี่ก็ยอมรับว่าพี่ตอบไมได้ ดังนั้น Mindset สำคัญที่สุดของกูรู นั่นคือการที่คุณไม่ได้หลอกคนอื่น และคุณก็ไม่ได้หลอกตัวคุณเอง

Q : การเป็นกูรู เป็นคนให้ความรู้ แน่นอนว่ามีหลายคนให้ความสนใจในแนวคิด การใช้ชีวิต เรื่องพวกนี้ทำให้รู้สึกกดดันบ้างไหม

 

การที่มีคนมาสนใจเรามันก็ดี เพราะมันแปลว่า งานของเราก็ได้รับความสนใจมากขึ้น ไม่รู้สึกกดดันนะ ถ้าคุณคิดง่ายๆว่า ยังไงมันก็ดีกว่าไม่มีคนมาสนใจคุณ มันจะไม่กดดันอะไรหรอกใช่ปะ คือคนชมก็รู้สึกดี คนด่ารู้สึกแย่ แต่ถ้าวันหนึ่งไม่มีคนพูดถึงคุณเลยสักคำนี้แม่มแย่สุดนะ วิธีจัดการง่ายๆ คือ คุณก็เป็นสิ่งที่คุณอยากเป็นไปดิ ถ้าเค้าไม่ชอบคุณเค้าก็เลิกตามคุณเองแหละ ไม่ต้องคาดหวังอะไรหรอกของพวกนี้ สุดท้ายมันก็หายไป

Q : คิดว่า Mindset คน กับการใช้ชีวิตเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร

 

อันนี้ขอลอกคำพูดพี่หนุ่ม Money Coach มาเลยนะ เคยคุยกับแกแล้วชอบมาก คือ คนทุกคนอยากจะรวย แต่เค้ายังไม่รู้เลยว่าต้องมีเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่ารวย ทีนี้มีคนบางกลุ่มคิดว่าเห็นช่องว่างตรงนี้มาหากิน มันเลยกลายเป็นคนรวยเจอคนเหี้ย ก็เลยอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข และสุดท้ายคนดีก็ไม่มีแดกต่อไป เพราะมันก็ยึดมั่นในความรู้สึกดีๆ โลกมันก็เป็นอย่างนี้

 

ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หากเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็น่าจะล่มสลาย วนไปวนมาเรื่อยๆ เดี๋ยวก็มาใหม่ แบบนี้แหละ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ควรจะเป็น Mindset จริงๆก็คือ เชื่อตัวเองนิดนึงก่อนไหม? ใครพูดอะไรมารับหมดเลย ไม่กรองเลย ทำอันนี้ดีก็ทำ อันนู้นดีก็ทำ อันนั้นดีก็ทำ สรุปทำทุกอย่างแต่ชีวิตไม่เคยดีขึ้นเลย

Q : พรี่หนอมหนีภาษีครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

 

พี่มั่นใจว่าชีวิตพี่ไม่เคยหนีภาษีนะเว้ย คือถ้าคุณคิดว่าผมหนีภาษีคุณจับผมให้ได้ก่อนนะครับ แล้วค่อยมาพูด (หัวเราะ) เอาจริงๆ โคตรเกลียดคำพูดคำหนึ่งที่ว่า “ใครๆแม่งก็โกง” คือถ้ามึงเหี้ยก็อย่าเอาคนอื่นไปร่วมหัวจมท้ายกับตัวเองด้วยเลยครับ

Q : รูปแบบภาษีในความคิดพี่ที่เหมาะกับคนไทยเป็นแบบไหน

 

เราชอบเอาเรื่องคอรัปชั่นไปผูกกับการจ่ายภาษี มันแปลกมาก เพราะสิ่งที่เราต้องดูคือการคิดอัตราภาษีเหมาะสมกับคนที่จะจ่ายหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าดูเงินที่จะจ่ายไปถูกนำไปบริหารหรือเปล่า เพราะท้ายที่สุดใครมาบริหารเราไม่รู้ สมมติคนบริหารดีไม่โกงภาษีประเทศดี แต่ถ้าอัตราไม่เหมาะสมคนใหม่มามันก็จะโกงยิ่งกว่าเดิม มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโกงไม่โกงไง มันเกี่ยวกับโครงสร้างและระบบภาษี เช่น เก็บภาษีกับคนจนเหมาะสมไหม ? เก็บกับคนรวยเหมาะสมไหม ไปโฟกัสตรงนั้น ไม่ใช่เก็บเท่าไหร่ก็ได้ ขอให้ทำประโยชน์ให้ประเทศ

 

หรืออีกคำพูดคือ ไม่อยากจ่าย จ่ายไปก็โกง มันตลกมาก มันตบหน้าตัวคุณเองว่าคุณก็โกงกฏหมาย เหมือนคุณด่าตำรวจ แต่ตำรวจจะแจกใบสั่งคุณให้ตำรวจเลยร้อยนึง แล้วคุณก็ไปด่าตำรวจ

 

สิ่งสำคัญคือดูพื้นฐานระบบของการการเสียภาษีที่ถูกต้อง การจัดเก็บที่ถูกต้อง เหมาะสมไหม เพราะจริงๆแล้วเราก็รู้กันดีกว่าภาษีไม่มีใครชอบที่จะจ่าย ดังนั้นสิ่งที่ต้องใส่ใจคือที่จ่ายทุกวันนี้มันถูกต้องและเหมาะสมแล้วหรือยัง

Q : สุดท้ายอยากฝากอะไรที่ประทับใจกับทางบ้านบ้างครับ

 

ออกไปทำมาหากินกันเถอะครับ อย่ามัวแต่ฝัน ประสบการณ์จากการลงมือทำสำคัญกว่าเยอะครับ