034 : ขอบคุณ เดือน “กันยายน” เดือนที่เปลี่ยนแปลงผมเป็นคนใหม่

หนึ่งเดือนกว่าๆ ที่ไม่ได้มีเวลามาเขียนอะไรลงที่แห่งนี้ ทั้งๆที่ตั้งใจจะเขียนให้ได้อาทิตย์ละครั้ง แต่แล้วมันก็พังพินาศไปเกือบหมดอีกแล้ว  (TwT) ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะแรงกระทบที่เข้ามาสั่นคลอนอะไรหลายๆอย่าง ขอบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในเดือนนี้ ซึ่งผมคิดว่ามันหนักหนากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายนเสียอีก (อ่าน 022 – 025 : ประสบการณ์ในเดือนที่แย่ที่สุดของชีวิต)

1. ผมใช้เวลาช่วงหนึ่งนั่งดู Timeline เก่าๆใน Facebook ตัวเอง เพื่อที่จะค้นพบอะไรบางอย่าง แรงบันดาลใจ อดีตที่เปลี่ยนไป สิ่งที่เหมือนมีสาระในวันนั้นกลายเป็นสิ่งที่ไร้สาระในวันนี้

• เรื่องราวที่ผ่านมา ผมชอบเขียนวนไปวนมาอยู่ 2-3 ปี ทั้งเรื่องเงิน เรื่องกูรู เรื่องความสำเร็จ เรื่องแพชชั่น เรื่องหักมุมมั่วซั่ว แซะคนโน้น หยิบเรื่องคนนี้มามองในมุมของตัวเองบ้าง ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความอยากมีตัวตนในแต่ละห้วงของความทรงจำ อีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะความกระสันครั่นคร้ามในการพยายามจะสื่อความคิดของตัวเอง

• สิ่งที่เปลี่ยนไปในตอนนี้ นั่นคือความนิ่ง เมื่อก่อนผมสนุกกับการกระแทกแดกดันรุนแรง แต่วันนี้ความรู้สึกเหล่านั้นมันเลือนหายไป พร้อมกับคำถามว่าเราจะทำให้คนอื่นรู้ทำไมวะว่าเราคิดอะไรกับเขาอยู่?

• การคิดในวันนั้น ไม่ได้ทำให้หยุดเขียน แต่มันทำให้เรียนรู้และ ยึดมั่นในสิ่งที่เราเขียนต่อไป แม้ว่าจะไม่มีใครเห็น แต่ในอนาคตข้างหน้า ถ้าได้ย้อนกลับมามองดู ผมอยากได้รับความรู้สึกภูมิใจเหมือนกับในวันนี้อีกครั้ง

2. นิยายเรื่องแรกในชีวิตจบลงไปแบบงงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นมีความหลากหลายในอารมณ์มากมาย แต่สิ่งที่คิดได้ ณ วันนี้ นั่นคือ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ผมรู้ตัวดีไม่ควรพูดถึงมันอีกต่อไป ปล่อยให้เครื่อง “บิดเบือนความทรงจำ” ของคนทั้งหลายได้ทำงานด้วยตัวของมันเอง

สิ่งที่คิดได้ คือ ผมควรใช้เวลาขอบคุณหลายๆ คนที่ช่วยให้นิยายของผมนั้นสมบูรณ์มากกว่า ทั้งคนอ่านที่ติดตามกันมา กำลังใจในวันนั้นผมจะจดจำมันไม่ลืม ทั้งมิตรสหายหลากหลายที่ช่วยให้นิยายเรื่องแรกนั้นกลายเป็นเรื่องที่ถูกอ่านมากกว่า 10,000 ครั้ง สิ่งที่พวกเขาช่วยเหลือและทำให้ผมนั้นทำให้ผมรู้จัก “มิตรภาพ” ที่แท้จริง ที่ไม่ต้องแลกมาด้วยคำสวยๆ หรืออวยกันไปอวยกันมา แต่มันคือคนที่พร้อมจะช่วยเหลือเราโดยที่ไม่ได้หวังอะไรเลยแม้แต่น้อย

 

14448808_10153938869508450_1745171940789458663_n (1)

 

3. ภาพของการคิดใหญ่ โตตามฝัน พลิกชีวิตนั้น ค่อยๆห่างออกจากความรู้สึกไปเรื่อยๆ ผมนึกถึงวันที่บอกแม่ไว้ว่า “ถ้าหาเงินด้วยความสามารถได้เดือนละ 50,000 บาท ผมจะออกมาทำนู่นนี่ตามความฝัน” แต่พอถึงวันนี้ ผมคิดว่าความฝันของผมไม่ได้หยุดที่จำนวนเงิน และความยิ่งใหญ่เสียแล้ว

ผมชอบมองหาความเป็นฮีโร่ในคนธรรมดา คนที่ตั้งใจทำธุรกิจ หรือคนที่ประสบความสำเร็จและเลือกที่จะมีชีวิตเรียบง่ายในรูปแบบที่เขาต้องการ เพราะมันทำให้เรารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้น โดยที่ไม่ต้องประกาศกร้าวบอกใครให้รู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่า “ความสุข”

แน่นอน… การฝันใหญ่ยังคงไม่ใช่เรื่องผิดในยุคสมัยนี้ แต่ผมเริ่มหันมองความก้าวหน้าจากการสะสมความฝันทีละนิดอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น

ขอบคุณรอยยิ้มของเธอในวันนั้น และการสวมกอดของแม่ในคืนที่ควรจะหลับใหล ผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ความสุขของชีวิตผมในอนาคตไปเสียแล้ว

4. สำหรับคนที่ทำงานหนักเพื่อคนอื่น ผมรู้สึกว่าเขาควรได้รับอะไรบางอย่างตอบแทน ถ้าไม่ใช่เงิน ก็คงเป็นความสุข แต่นอกเหนือจากสิ่งเหล่านั้น ผมคิดว่า “รอยยิ้ม” ที่เราส่งให้เขา ถือว่าเป็นเรื่องดีๆ ในอีกรูปแบบหนึ่งที่เขาสมควรได้รับ

5. เดือนกันยายน ทำให้รู้สึกถึงการเดินทางของปีใหม่ที่ใกล้เข้ามา เผลอแป๊บเดียวก็มาช่วงปลายปีแล้ว เลยถือโอกาสเอาสิ่งที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นปีมาปัดฝุ่นอีกรอบ เป็นโปรเจคส่วนตัวที่อยากทำมานาน และหยุดทำไปนานเพราะข้ออ้างในชีวิต

การทำ Podcast “โลกไปไกลแล้ว” เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เราเคยอยากจะทำเพื่อความมันส์และอีโก้ส่วนตัวล้วนๆ จนเกิดเป็นรายการ “ท่าแซะ” “เพลินจิต” และ “มักกระสัน” 3 ช่องทางที่เราหวังว่าจะสื่อสิ่งที่คิดไปได้มากกว่างานที่ทำอยู่ในตอนนี้

ถ้าใครอยากติดตามก็ติดตามได้ที่ SoundCloud โลกไปไกลแล้ว ครับ

6. “ดีใจที่ตัดสินใจมาหาหมอ” เป็นคำพูดของน้องคนหนึ่งที่ผมแนะนำให้ไปปรึกษาจิตแพทย์ เนื่องจากน้องมีปัญหาจากความเครียดในชีวิตและนอนไม่ค่อยหลับมานานมากแล้ว

ไม่รู้ว่ามันเป็นกฎแรงดึงดูด หรือความชอบเสือกเรื่องชาวบ้าน หรืออะไรก็ตาม ทำให้ผมมีโอกาสได้เข้าไปรับรู้หรือมีส่วนร่วมของการเป็นโรคซึมเศร้าของใครหลายๆคน (รวมถึงจิตเภท) ส่งผลให้ผมต้องให้สนใจเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ประกอบกับการที่มีคนมาปรึกษาปัญหาชีวิตอยู่บ่อยๆ ทั้งๆที่เราเองก็ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการใช้ชีวิตซักเท่าไร

เมื่อก่อน ผมพยายามจะตัดสิน หรือแนะนำแนวทางตามความคิดของตัวเอง ซึ่งแน่ละว่า ผมมักจะจดจำสิ่งที่แนะนำแล้วสำเร็จมาเคลมว่าเป็นความเก่งกาจราวกับหมอดูชื่อดังที่แม่นทุกเรื่อง แต่พอมาถึงจุดหนึ่ง ผมเพิ่งตระหนักรู้ได้ว่าชีวิตมันไมได้ง่ายอย่างนั้น และมันไม่ได้ง่ายพอที่คนเราจะนำคำแนะนำมาปฎิบัติกับปัญหาได้ง่ายๆ

ยิ่งโตขึ้น… ผมยิ่งรู้ตัวดีว่าปัญหาและความรู้สึกที่มีต่อปัญหาแต่ละคนแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงไม่ควรให้คำปรึกษาใครและตัดสินอะไรแบบพล่อยๆอีกต่อไป

สิ่งที่ผมเลือกทำในวันนี้ มีแค่การแนะนำสิ่งที่เขาควรทำเพื่อแก้ปัญหาที่ “จำเป็น” เพื่อให้ “อยู่ได้” ก่อน และถ้าหากเขาทำแล้วชีวิตมันดีขึ้นจริงๆ ผมว่าการแค่รู้สึกยินดีกับสิ่งเหล่านั้น มันก็เป็นความสุขในอีกรูปแบบหนึ่งเหมือนกันนะ

 

แด่… เดือนกันยายน เดือนที่ผมตั้งคำถามเก่าๆกับตัวเองอีกครั้ง ถึงหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในเดือนนี้ว่า “ทำแล้วได้อะไรบ้างวะ” ซึ่งมาถึงตรงจุดนี้ ผมเองยังไม่คิดที่จะหาคำตอบให้กับมัน

 

เพราะการมีชีวิตที่มีความสุขนั้น…
มันไม่ควรต้งคำถามอะไรมากไม่ใช่หรือ?

028 : เมื่อเราเติบโตขึ้น เรากลับพบว่าชีวิตมันไม่ได้ “อร่อย” เหมือนเคย

เมื่อเราเติบโตขึ้น เรื่องที่รับรู้มันไม่ได้มีแต่อร่อยเหมือนเคย ทำให้รู้สึกว่าแต่ก่อนเรานี่เป็นอีป้าโลกสวยในกะลาจริงๆ แต่ก่อนเชื่อว่าชีวิตแม่มคอนโทรลได้สิ คนที่ยังคอนโทรลไม่ได้ อาจเป็นเพราะยังไม่เข้าใจตัวเอง ยังไม่เข้าถึงอะไรแบบนี้
– Status ในเพจของ #มิตรสหายท่านหนึ่ง เขียนไว้แบบนั้น

ผมนั่งอ่าน Status ที่ว่าแล้วย้อนนึกถึงตัวเองในวันเก่าๆ นึกถึงประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตถึงระดับที่เรียกได้ว่าเข้าสู่วัยกลางคน สังเกตได้จากเส้นผมดำที่ลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ จนทำให้เราต้องคอยปกปิดความขาวด้วยสารเคมีที่ผ่านการคัดสรรว่ามาจากธรรมชาติ

ก่อนที่จะกลายเป็นโฆษณายาย้อมผมไปมากกว่านี้ คำถามที่มีอยู่ในใจก็เริ่มปรากฎชัดเจนขึ้นว่า ยิ่งเราเติบโตขึ้น สิ่งที่เราคิดนั้นควรเปลี่ยนแปลงไป หรือ ยังยึดมั่นอยู่กับมันเหมือนอย่างเดิม ถ้าให้ตอบแบบสวยงามตามเนื้อผ้าก็ควรจะมีทั้งสองอย่าง นั่นคือ สิ่งที่ดีควรจะยึดถือไว้ และ สิ่งที่ไม่ดีก็ควรจะเปลี่ยนแปลงไป 

แต่หากตอบโดยมองโลกจากมุมมองของตัวผมเอง ผมเชื่อว่าทุกสิ่งที่เราคิดนั้นต้องเปลี่ยนแปลงไปเสมอ แต่เหตุผลที่บางความคิดยังไม่ถูกเปลี่ยนไปนั้น มันคงเป็นเพราะยังไม่มีสถานการณ์มากระทบให้เราต้อง “เปลี่ยน” มากกว่า

ลองจินตนาการเล่นๆขึ้นมาว่า ถ้าหากคุณเป็นคนที่ยึดมั่นในความดี แต่ถูกรังแกด้วยความชั่วช้าที่ถาโถมเข้ามาเรื่อยๆในชีวิต วันหนึ่งคุณอาจจะเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงกลายเป็นคนที่ไม่ศรัทธาความดีอีกต่อไป หรือต่อให้คุณกล้าบอกว่า คุณยังศรัทธาความดีอยู่ก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วสายตาที่คุณมองโลกนั้นก็จะไม่เหมือนเดิมอยู่นั่นแหละ นี่คือเหตุผลที่ผมให้คำตอบกับตัวเองว่า ทุกความคิดนั้นมีสิทธิ์เปลี่ยน

คำถามต่อมาหลังจากคำตอบว่า “ทุกคนทุกสิ่งล้วนต้องเปลี่ยนแปลง” คือ การเปลี่ยนแปลงที่ว่าอยู่ในระดับไหน ระหว่าง “ปัจจัยภายนอกที่มาตกกระทบให้ภายในเปลี่ยน” หรือ “ปัจจัยภายในเปลี่ยนเพราะอยากจะเปลี่ยนให้สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นดีขึ้นกว่าเดิม” กันแน่

ต่อให้ “ประสบการณ์เปลี่ยนเราแค่ไหน แต่สุดท้ายเราต้องเปลี่ยนตัวเอง” คำพูดคมๆคุ้นๆ ที่เคยบอกผมว่า ถึงแม้สภาพแวดล้อมหรือประสบการณ์ที่ว่านั้น มันคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตัวเราจากภายนอกและมันอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะสภาวการณ์ต่างๆล้วนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ตะกอนความคิดจากภายในที่ถูกสร้างขึ้นมาจากตัวเราเองนี่แหละ จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

ลองจินตนาการต่อไปว่า ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่เจอคนโกงมาเยอะมากๆ มันย่อมไม่แปลกที่คุณจะไม่ไว้ใจใคร (จากประสบการณ์) แต่ไม่ได้แปลว่าคุณต้องไม่ศรัทธาในความดี หรือยึดถือว่าสายตาที่คุณมองโลกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง (จากสิ่งที่อยู่ภายใน) และในขณะเดียวกัน ถ้าคุณเจอแต่คนดีมาโดยตลอด ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะสามารถไว้ใจใครได้ 100% จากโลกที่เราเจอ

 

13775506_10153762600408450_4573618193017086102_n

 

“อย่าคิดว่าชีวิตมันจะนิ่ง ถ้าอายุมึงยังไม่ถึง 40” คำพูดสั้นๆที่ผมจำขึ้นใจจากปากของพี่ที่เคารพ อาจเป็นหนึ่งแรงผลักดันที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านในช่วงวัยกลางคนกลับกลายเป็นการพยายามทำความเข้าใจโลก มากกว่าความพยายามที่จะสร้างโลกที่เราเข้าใจเหมือนอย่างในวัยก่อนหน้านี้

ในวันที่เราอายุ 20-30 โลกที่เราแบกไว้ดูเหมือนยิ่งใหญ่ เราเห็นใครหลายคนที่ประสบความสำเร็จจาก “ต้นทุน” ที่มีมาไม่เท่ากัน และ “ความสามารถ” ที่แตกต่างสร้างสรรค์จากธรรมชาติกอปรกับความพยายามที่จะสร้างมันขึ้นมาด้วยไฟของหนุ่มสาว

แต่เมื่อเวลาผ่านไป หากมีโอกาสได้ย้อนมองดูตัวเองในสิ่งที่ผ่านมา และมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงที่หนักหนาในวัยที่เกินกว่า 30 ปี การเสื่อมถอยของคนรุ่นก่อน ภาระความรับผิดชอบที่อาจจะไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเราเพียงคนเดียว ผูกพันลดเลี้ยวไปจนถึงความคงที่บางอย่างที่ “นิ่ง” จนอาจกลายเป็นหลุมพรางในการใช้ชีวิต ทำให้เริ่มรู้สึกสัมผัสถึงความซับซ้อนของการเป็นมนุษย์ และเมื่อถึงจุดหนึ่งมันก็ทำให้สะทกสะท้อนใจไม่ใช่น้อยว่า

ไอ้ชีวิตที่เราคิดว่าเราเข้าใจนั้น
จริงๆ เราไม่ได้เข้าใจแม้แต่นิดเดียว :)

-005 : ถ้าทำงานนี้แล้วไม่ได้เงิน … มึงจะยังทำงานนี้อยู่หรือเปล่า?

 

ถ้าทำงานนี้แล้วไม่ได้เงิน …

มึงจะยังทำงานนี้อยู่หรือเปล่า?

ผมเคยถามคำถามแบบนี้กับตัวเอง 2 ครั้ง ครั้งแรก มันเกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว ตอนตัดสินใจเริ่มต้นเขียนบล็อกด้วยความรู้สึกสั้นๆ ว่า “อยากลองทำดู” นับตั้งแต่วันแรกที่เขียนบล็อกเรื่องราวไดอารี่ส่วนตัว เพราะคิดว่าแนวคิดและแนวเขียนของตัวเองนั้นช่างเลิศหรูเสียเต็มประดา มาจนถึงวันที่ตัดสินใจเขียนบล็อกให้ความรู้ เพื่อที่จะลองดูว่าเราจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนี้

 

วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ แต่ก็รวดเร็วพอที่ผมจะเห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงชนิดที่เรียกว่าแปรผัน 2 ปีแรกหลังจากที่ตัดสินใจทำแบบนี้ ความจริงที่พบเห็นได้อย่างนึงก็คือ ไดอารี่ขีวิตมึงนั้นไม่มีใครสนใจ เพราะมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับชีวิตเขา และความคิดคำคมที่มึงเสกสรรปั้นแต่งมานั้นมันช่วงกลวงและกากเสียเต็มประดา ส่วนความรู้ที่พยายามจะแชร์มาน่ะหรือ มันก็เป็นแค่การก็อปปี้ความคิด คำสอนของอาจารย์หลายๆท่าน รวบรวมมาเป็นบทความที่ไร้ความสำคัญกับชีวิตคนเหมือนเดิม

 

ไม่ต้องมีคำหล่อๆของไอน์สไตน์อย่าง “มีแต่คนบ้าเท่านั้น ที่จะทําสิ่งเดิมซ้ํา ๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง” ให้ฟัง สำนึกและสติก็คงพอที่จะคิดเองได้ว่า สิ่งที่เราทำนั้นมันช่างไร้ค่า ดังนั้นควรจะทำต่อหรือเลิกราแล้วต่อกันดี ถ้าเลิกก็จบ ถ้าต่อก็ไม่รับประกันว่าจะสำเร็จ เพราะความอดทนและความพยายามที่ผิดที่ ก็เหมือนคนโง่ที่พาตัวเองเสียเวลาชีวิตไปวันๆ เท่านั้นเอง

 

น่าแปลกที่ผลลัพธ์ของมันปรากฎในปีที่ 4 เติบโตในปีที่ 5 และมาเบ่งบานแก่กล้าในปีที่ 6 จนกลายเป็นว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดนั้นเหมือนเรื่องง่ายดายที่เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยในอากาศ รอแค่คนมาสูดดมเข้าไปเหมือนกาวแล้วดึงดาวแห่งความสำเร็จมาประดับไว้ตรงบ่า จนถึงวันนี้ความพยายามที่ผ่านมาก็ยังคงถูกใครหลายคนสูดดมแล้วบอกว่า “เพราะคุณมีโอกาสที่ดีกว่าคุณเลยทำได้”

 

เมื่อเส้นทางถูกจุดติด สิ่งที่ตามมาทั้งหมดในชีวิตเราจะเรียกมันว่าโอกาส ซึ่งโอกาสก็ถูกแบ่งแยกย่อยออกเป็น “โอกาสที่ต้องทำ” “โอกาสที่ควรทำ” และ “โอกาสที่เราเองก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับมันดี” และตรงนี้คือสิ่งที่จะมาเปิดประสบการณ์ให้เราก้าวไปต่อ จนผ่านมาได้ในถึงทุกวันนี้

 

และการ์ดกับดักก็เริ่มทำงาน เราเริ่มหลงระเริงอยู่กับโอกาส เริ่มฝันหวานกับความก้าวหน้า เริ่มสูดดมกัญชาที่ทำให้เราคิดว่าเรากลายเป็นผู้ที่แน่นอนกับความสำเร็จ แต่สุดท้ายแล้วความรู้สึกเหล่านี้อาจจะนำพาให้เราล้มจนเจ็บเจียนตายก็ได้

ถ้าทำงานนี้แล้วไม่ได้เงิน …

 

มึงจะยังทำงานนี้อยู่หรือเปล่า?

 

เมื่อถึงจุดนั้น สิ่งที่เราใช้ต่อต้านการ์ดกับดัก คือ ถามคำถามเดิมซ้ำๆ ให้มันตอกย้ำเข้าไปถึงสิ่งที่เราต้องการมากกว่า “เงิน” แน่ล่ะว่าเงินมันซื้อทุกอย่างได้แหละ แต่คำถามคือ บางอย่างที่เงินซื้อไม่ได้สำหรับเรานั้นคืออะไร และงานที่เราเลือกทำนั้นทำให้เราได้สิ่งนั้นกลับมาหรือเปล่า เช่น ประสบการณ์ที่ได้ร่วมงานกับคนเก่ง (ซึ่งถ้าใช้เงินซื้อก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้หรือไม่) ความรู้สึกดีๆ ที่ได้เป็นผู้ให้หรือไ้ด้รับการยอมรับ (เงินซื้อได้ แต่เราจะภูมิใจในตัวเองเท่านี้หรือเปล่า) หรือแม้แต่การเลือกที่จะไม่ทำงานเพื่อเงิน เพราะต้องการ “เวลา” ในช่วงเดียวกันทำอย่างอื่นในชีวิตที่เราคิดว่ามันมีค่ามากกว่าเงินที่ได้รับมา

 

ไม่ต้องแปลกใจถ้าเจอหลายคนก่นด่าว่าทางที่เราเลือกนั้นเป็นทางที่โง่เง่า ไม่ต้องเศร้าถ้าหากเราจะเลือกทางเดินที่ผิดจนต้องเอ่ยคำว่า “รู้งี้” ไม่ต้องท้อแท้ พูดจาร้องหาความดี เพราะบางทีสิ่งที่เราเลือก โอกาสที่เราใช้ มันอาจจะให้อะไรบางอย่างที่เจ็บปวด และไม่ได้แม้แต่เงินก็ตาม

 

เพราะสุดท้ายทางที่เราเลือกเดินนี่แหละมันจะเป็นคำตอบว่าเราชื่นชอบในการใช้ชีวิตของเราจริงๆหรือไม่ หรือสุดท้ายเราเป็นได้แค่เพียงคนโง่เง่าที่เอาแต่เสียเวลาคิดไปเองว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา

 

 

-008 : ถ้าวันนี้คือวันสุดท้ายของชีวิต พรุ่งนี้คงไม่มีเราอีกต่อไป

 

“จงใช้ชีวิตในทุกๆ วัน

ให้เหมือนกับว่ามันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต”

 

– 1 –

ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตจริงๆ

คุณยินดีจะทำทุกสิ่ง เพื่อให้มันสมกับเป็นวันสุดท้าย ?

 

แต่ผมคง…

ได้แต่นอนรอความตายอย่างสงบอยู่บนเตียงอันอ่อนนุ่ม

ตั้งจิตคิดขอโทษและอโหสิบุคคลที่เคยทำร้ายพวกเขา

บอกรักและบอกลาคนที่คิดว่ามีความสำคัญในชีวิต

และแอบหวังลึก ๆ ว่าจิตจะออกจากร่างอย่างสงบ

 

– 2 –

เราไม่สามารถรู้ได้หรอกว่า

วันไหน ? ที่จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิต

 

“สติ” เลยถูกใช้ในการครุ่นคิด

เพื่อที่จะทำตัวเองให้ก้าวหน้า

พร้อมกับฝ่าฟันอุปสรรคอีกมากมายที่ไม่อยากจะทำ

 

บางครั้ง

สร้างความเกลียดชังกันและกันเพิ่มขึ้น

 

บางคราว

ลืมเลือนความขมขื่นที่เคยถูกกระทำเพื่อก้าวต่อไป

 

บางเวลา

ลืมสวมกอดคนที่เรารักและบอกรักกันอย่างแผ่วเบา

 

เจือปนกับความรู้สึกบางเบา

ว่าเราอยากได้พื้นที่ส่วนตัวกลับคืนมา

 

– 3 –

การใช้ชีวิตให้เต็มที่ราวกับไม่มีพรุ่งนี้

ในแง่หนึ่งมันคือคำบอกเล่าดี ๆ

ที่บอกให้เราเต็มที่กับสิ่งที่กำลังทำ

 

แต่ถ้าหันมามองดู

เราก็จะรู้ว่าชีวิตของเรานั้น

คงไม่สามารถจะเต็มที่กับมันได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 

การทำในสิ่งที่รัก สิ่งที่ชอบ สิ่งที่ใช่

มันก็มีอะไรที่เกลียด ไม่ชอบ ไม่ใช่ เจือปน

 

ในความเต็มล้นที่เปี่ยมด้วยพลังยิ่งใหญ่

มันก็มีอะไรที่ตีกลับมาด้วยร่างกายที่ถูกใช้งานหนัก

 

– 4 –

ต่อให้วันนี้ไม่ใช่ วันสุดท้ายของชีวิต

สิ่งที่เราอยากจะคิดอยากทำมันก็ยังคงอยู่

 

แต่ที่เราไม่ได้เหลือบมองดู

เพราะเรารู้ว่าอะไรสำคัญกว่าในวันนี้

และเรายินดีที่จะเลือกทำมันด้วยความจริงใจ

 

เอาเข้าจริง…

เราอาจจะไม่ได้ต้องการใช้ชีวิตให้หมดลง

เพราะเราต้องการดำรงอยู่เพื่อทำมัน

 

– 5 –

ถ้าผมเลือกใช้ชีวิตเหมือนวันสุดท้าย

วันนี้ผมคงตายและถูกลืมเลือนไป

 

เพราะวันสุดท้ายของชีวิตผมนั้น

ผมคงไม่ได้ทำอะไรเลย  

 

 

-009 : ความสำเร็จที่ไม่มีจริง คล้ายกับคนที่ถูกทิ้งให้ตายอย่างเดียวดาย

 

“แกน่าจะลองเขียนเรื่องพวกนี้ออกมาบ้างนะ”

 

คำพูดนี้มีพลังอย่างประหลาด ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนน้ำแข็งราดลงกลางศีรษะ เมื่อมิตรสหายท่านหนึ่งตอบกลับมาหลังจากได้ยินเรื่องที่ผมพูดเกี่ยวกับ “ความสำเร็จ” ของผู้ชายที่ไม่ประสบความสำเร็จคนนั้น

 

เราทั้งคู่นั่งอยู่ในร้านเหล้า-ไม่สิ-เราควรเรียกมันว่าร้านขายอาหารที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มันเป็นร้านประจำของผมและเธอที่ต้องมาเจอะเจอกันอยู่เสมอ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าร้านเก่าแก่แบบนี้กำลังจะปิดตัวลงเนื่องจากพิษเศรษฐกิจ–ใช่! เศรษฐกิจที่ว่าดีสำหรับบางคน–และย่ำแย่เหลือเกินสำหรับคนอีกหลายคน

 

ก่อนที่ค่ำคืนนี้จะเลือนหายไป

ผมมีเรื่องหนึ่งอยากเล่าให้คุณฟัง…

คุณเคยพยายามจะประสบความสำเร็จบ้างหรือเปล่า เขียนเป้าหมายออกมาลงในกระดาษ พาดหัวอย่างหนักในวันเริ่มต้นของปีใหม่ ตามมาด้วยการทบทวนเป้าหมายอยู่เป็นนิจ แล้วคอยสะกิดบอกกับตัวเองว่า “ฉันทำได้” ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนกำลังสัมมนาอยู่ในฮอลล์ปลุกใจของธุรกิจเครือข่ายขนาดใหญ่ ก่อนที่จะพบว่าจริงๆแล้ว ความสำเร็จที่เรากำลังลุ่มหลงนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นและสำคัญกับชีวิตเสียเท่าไรนักหรอก

 

เขาถามคำถามยาวยืดนั้นกับผมเบาๆ มันก็เป็นอีกวันที่ผมนั่งอยู่ร้านเหล้าร้านเดิม-ไม่สิ-ร้านอาหารที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ แต่วันนั้นร้านยังคราคร่ำไปด้วยผู้คนล้นหลาม ต่างคนต่างจับจ่ายใช้สอยราวกับงานที่ทำคือการพิมพ์แบงก์ออกมาจากอากาศ-โดยไม่ทีท่ารู้ตัวเลยว่าชีวิตจะลำบากอย่างในวันนี้

 

“พี่ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรนี่ครับ ทำไมถึงกล้าพูดแบบนั้น” ผมถามเขากลับไปแบบเกรงๆ เมื่อดูรอยสักรูปอินทรีย์ที่หลังมือพร้อมกับกล้ามแขนที่มีเส้นรอบวงใหญ่กว่าแขนผมสัก 2 เท่าได้

 

“เฮ้อ… การมีชีวิต ได้หายใจปกติ อยากจะเดินไปไหนมาไหนได้ นี่แม่งก็เรียกว่าประสบความสำเร็จได้แล้วนะคุณ คุณหาข้าวกินได้เอง มีเงินใช้ในแต่ละวัน มีฟูกดีๆให้นอนไม่ปวดหลัง แล้วคุณยังจะเอาอะไรอีกหรอ เอางี้ คุณจะเอาอะไรดีล่ะ ร้อยล้าน พันล้าน จิตวิญญาณแห่งการเป็นมนุษย์ผู้แบ่งปัน หรือฝันที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมไทย?” เขากล่าวตอบพลางสัพยอกผมที่หน้าถอดสีเบาๆ อาจจะเป็นเพราะเขารู้ว่าผมกำลังเมาอยู่นิดๆ ถึงได้กล้าถามอะไรที่ผิดปกติอย่างนี้ออกไป

 

ผู้ชายคนนี้ -เขา- เคยเป็นรุ่นพี่ที่ผมเคารพมากๆ มีเพียบพร้อมทุกอย่างจนถึงขั้นเรียกได้ว่า “หนุ่มเพอร์เฟค” แต่หลังจากเหตุการณ์การเมืองครั้งนั้น เขากลายเป็นคนที่ตกงาน ไร้ญาติ ส่วนหนึ่งเกิดจากอุดมการณ์ที่เลือกข้างผิด อีกส่วนหนึ่งเกิดจากความคิดที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออำนาจของเขาเอง

 

มาถึงวันนี้ความ “เพอร์เฟค” ของเขาเหมือนกับเงาสะท้อนความพิกลการของสังคมไทยที่ชอบพูดพล่ามถึงความดีไปพร้อมๆกับการหลบเลี่ยงภาษีโดยที่ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรแม้แต่น้อย

 

“เอาจริงๆนะคุณ ทุกวันนี้เราแม่งรู้สึกขาดเพราะถูกกระตุ้นด้วยการเปรียบเทียบ” เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นเก่ากึ้ก แต่มันยังใหม่พอที่จะพาเขาเข้าสู่โลกออนไลน์ด้วย “อวตาร” เพื่อเสพข่าวสารต่างๆที่เขาอยากรู้ความเป็นไปทุกอย่างของโลก ตั้งแต่ข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ การเมืองเลือกข้าง ไปจนถึงเด็กข้างบ้านสุดฮอต

 

“รู้มั้ย.. ผมชอบนั่งไล่แอดคนดังทั้งหลาย คุณรู้ไหมส่วนใหญ่คนพวกนี้เขารับแอดหมดนะ เพราะพวกเขาอยากมีเพื่อนเยอะๆ มีสังคมเยอะๆ จะได้เข้าหาผู้คนได้เยอะๆ คุณว่ามันแปลกไหมล่ะ? คนพวกนี้แม่มยิ่งดังแล้วกลับต้องการเพื่อนมากขึ้น แม้จะไม่ใช่เพื่อนจริงๆก็ตาม” เขาเปิดรูปอวตารหน้าจอสีดำล้วน พร้อมชื่อผู้ใช้งานชวนขบขันอย่าง “ผู้ชายอารมณ์ดี ยิ่งกว่านี้ก็บ้าแล้ว”

 

เขายื่นมือส่ง “โลกออนไลน์” ของเขาให้ผมดูไปพลางๆ พร้อมกับพูดต่อว่า “ลองดูนะ คุณจะเห็นคนที่ชอบโชว์ว่าตัวเองไปเที่ยวไหน คนที่โพสส่อเสียดก่นด่าสังคมเหมือนมีอะไรในใจ คนที่แชร์คำคมธรรมะ-คุณธรรม-เรื่องน่าอ่าน ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะพวกเขาอยากจะสร้างตัวตนของตัวเอง” เขาหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบต่อ ละเลียดรสชาติของมันสักพัก

 

“ยิ่งเขาประสบความสำเร็จมากแค่ไหน เขาก็ต้องพยายามที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นไป ทำตัวรู้เรื่องเข้าใจโลกให้มากขึ้น พูดถึงเรื่องความเก่งกาจของตัวเองบ่อยขึ้น จนคนรอบข้างชื่นชมและอยากเป็นอย่างเขา แต่เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเขาต้องการอะไรจริงๆในชีวิต”

 

เขาหยุดยิ้ม “คุณเชื่อไหมล่ะ.. ถ้าเราเห็นคนพวกนี้ทุกวัน ติดตามเขาไปเรื่อยๆ วันหนึ่ง เราก็จะค่อยๆรู้สึกอยากจะมี อยากจะเป็นขึ้นมาซะงั้น ยิ่งถ้าหากไอ้นั่นเป็นเพื่อนพี่ รุ่นน้อง คนรู้จักของคุณล่ะ รับรอง คุณก็จะยิ่งกดดันตัวเองและถามคำถามซ้ำๆว่า ทำไมวะ กูแม่มไม่ดีไม่เป็นเหมือนเขา”

 

“ผมว่า ผมไม่เป็นนะ.. ครับ เอ่อ พี่อาจจะคิด. คิดมากไป” ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าคุยกับจอมเผด็จการผู้ยิ่งใหญ่ด้านความคิดอยู่หรือเปล่า แต่ดูท่าเขามั่นใจและเชื่อถือในความคิดของตัวเองมากๆ มากเสียใจไม่ฟังใคร – หรือเป็นผมเองวะที่ต่อต้านเขาอยู่ในใจ – ผมคิด

 

“ฮ่าๆๆ” เขาตบไหล่ผมเสียงดัง แล้วก็ยิ้มกลั้วหัวเราะให้เบาๆ “ให้มันได้แบบนี้สิวะ ! นั่นมันก็แปลได้สองอย่าง คือ คุณไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น หรือคุณไม่เห็นความสำคัญของคนๆนั้น มันก็แค่นี้เอง”

 

“คุณอยากเป็นแบบผมไหมล่ะ ?” เขาถามคำถามที่ทำให้ผมสั่นหัวแบบรัวๆ “ในสายตาของคุณ สิ่งที่ผมพูดแม่งก็ไม่ได้มีคุณค่าอะไรหรอก มันเป็นแค่คำตอบของคนที่.. ยังไงล่ะ เอ้อ ไม่สำเร็จ แล้วมาทำตัวเป็นเอกอุพหูสูตผู้รู้แบบนั้น ทำตัวน่าเชื่อถือไปวันๆ เรียกว่า กลวงอะไรแบบนั้นก็ได้มั้ง ฮ่าๆๆ ”

 

“แต่ถ้าผมบอกว่าผมเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน จุดที่ไม่เคยฟังใคร คิดว่าจะตามหาสิ่งที่ใช่ ไล่ล่าเป้าหมาย แต่สุดท้ายวันที่ผมล้มลง ผมก็พบว่าจริงๆแล้วเป้าหมายที่ทุกคนควรทำได้คือการมีชีวิตที่อยู่รอดไปอีกหนึ่งวัน คนเราไม่ได้ต้องการความสำเร็จอะไรมากนักหรอก ไอ้ห่า” เขาพูดจบแล้วกระดกไวน์จนหมดแก้ว – ก่อนที่ลุกขึ้นเดินจากไป ผมปรายตาเห็นเขากำลังทักทายมาเฟียรุ่นใหญ่ในร้านอาหาร – คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง – ผมคิดตามประสาคนวิตกจริตบวกกับโรคแพนิคอ่อนๆ

 

…และนั่นเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้เห็นหน้าเขา

 

“แกกำลังคิดอะไรอยู่?”

 

ผมมองหน้า “เธอ” ก่อนจะสังเกตเห็นว่าควันบุหรี่จากปากของเธอดูคล้ายหมอกบางๆ และค่อยๆจางหายไปกับแสงไฟในร้าน พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

 

เราไม่รู้หรอกว่าที่เขาพูดในวันนั้น มันคืออะไร ? แต่พอมาถึงวันนี้ เราเริ่มกลับรู้สึกว่ามันใช่.. ไม่ใช่สิ มันกลายเป็นความจริงโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ทุกวันนี้เราถามตัวเองซ้ำๆนะว่า แล้วเอาเข้าจริง มนุษย์อย่างเราต้องการอะไรกันแน่

 

เธอยิ้ม.. แล้วตอบคำถามผมว่า “เราไม่มีวันรู้หรอกว่า ความสำเร็จคืออะไร จนกว่าเธอจะเริ่มต้นจากความล้มเหลว” – เธอชอบพูดประโยคคมๆ ให้ผมต้องตีความอย่างที่ไม่รู้ความหมายอีกแล้ว นี่เป็นประโยคที่ 458 ที่ผมเคยได้ยินจากเธอ แต่ไม่เคยกล้าถามกลับไปสักทีว่าสิ่งที่เธอพูดหมายความว่าอะไร – บางทีเธอคงคิดว่าผมโง่ – แต่ก็ช่างมันเถอะ จะมีอะไรดีกว่าในวันนี้ที่มีเพื่อนคนหนึ่งนั่งอยู่เคียงข้างกัน

 

จะพี่คนไหน จะเพื่อนคนไหน จะคนรอบตัวสักกี่คน พวกเขาเหล่านั้นจะรู้สึกถึงความสุขเล็กๆที่ผมได้มีเพื่อนนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ ในวันที่กำลังตกงานและไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไปบ้างไหมนะ

 

อยู่ๆ ผมก็คิดถึงประโยคที่พี่คนนั้นพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“คนเรามันไม่ได้ต้องการความสำเร็จอะไรมากนักหรอก”

 

 

-011 : ความสำเร็จของชีวิต.. ควรเริ่มต้นจากสิ่งที่เราไม่ชอบ

 

โดยปกติแล้วผมเองเป็นคนที่ไม่ค่อยใช้ “แรงบันดาลใจ” ในการขับเคลื่อนชีวิตสักเท่าไร อาจจะเพราะนิสัยดั้งเดิมที่เป็นคนที่ค่อนข้างจะแอนตี้กับแนวคิด “บวกๆ” ในระดับหนึ่ง (บางครั้งอาจถึงขั้นเกินงามจนอาจเกิดอันตรายต่อชีวิต) แต่ด้วยหน้าที่การงานที่ทำก็มักจะได้รับคำถามเรื่องการค้นหาตัวเองเป็นระยะๆ หรือได้ไปแชร์ประสบการณ์อะไรต่างๆให้กับคนรุ่นหลังฟังอยู่เสมอ (สั้นๆ แปลว่าผมเริ่มแก่นั่นเอง – -“)

 

อย่างล่าสุดเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปเป็น Guest Speaker ให้กับโรงเรียนสอนการแสดงชื่อดังแห่งหนึ่งย่านอารีย์ (Ideo Performing Arts School ของครูเปิ้ล Mind Director) ในหัวข้อเรื่อง Personal Branding และได้พูดถึงประเด็นเรื่องการ “ค้นหาตัวเอง” ที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์และไม่อยากให้มันจบลงแค่เพียงในคอร์สนี้ ผมเลยตั้งใจบันทึกเป็นข้อเขียนเล็กๆไว้เผื่อว่าใครหลงเข้ามาอ่าน :)

 

สำหรับผมแล้ว การค้นหาตัวเองไม่ได้เริ่มต้นจากสิ่งที่เราชอบ หรือแม้แต่การทำตามความฝัน มองหาไอดอล ฯลฯ แต่ผมเชี่อว่าเราควรเริ่มต้นจากการหา “สิ่งที่เราไม่ชอบ” และเลิกทำมันไปทันทีเพื่อประหยัดเวลาชีวิต เพราะเราไม่มีทางรู้หรอกว่าเราชอบอะไร “จริงๆ” จนกว่าเราจะได้ลงมือทำและใช้เวลาเรียนรู้อยู่กับมันนานเพียงพอ

 

การใช้เวลาลงมือทำอะไรสักอย่างที่นานพอ เราจะรู้ว่า เรารู้สึกไม่ชอบอะไร เรารู้สึกเฉยๆกับอะไร ไปจนถึงเราชอบอะไร หรืออย่างน้อยต่อให้เราไม่รู้จริงๆหรอกว่าเราชอบอะไรก็ตาม แต่เราจะรู้แน่ๆว่า

 

“เราทำอะไรได้ดี ในระยะเวลาที่จำกัด

และได้รับผลตอบแทนที่เราพอใจ”

 

ผมขอเรียกมันรวมว่า “ประสบการณ์” เพราะประสบการณ์ที่ดี จะทำให้เราตัดสิ่งที่เราไม่ชอบออกได้ง่ายขึ้น และการเรียนรู้จากประสบการณ์นั่นแหละจะทำให้เรามีสัญชาติญานในการเลือกสิ่งที่ไม่น่าจะชอบได้ดีขึ้น เพราะจุดบอดของวิธีการนี้คือ คนทุกคนมีเวลาเรียนรู้จำกัด และถ้าหากใครที่ไม่ได้ค้นหาตัวเองตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาวก็คงจะลำบากมากๆที่จะต้องลงมือทำทุกอย่างเพื่อค้นหาในช่วงเวลาที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่มีภาระในทุกๆวันนี้ ดังนั้น ประสบการณ์คือส่วนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตเราให้ “ตัดสินใจ” ง่ายขึ้น

 

หลังจากนั้นประสบการณ์ที่ดีและมากเพียงพอในระดับหนึ่ง จะค่อยๆดึงดูดหาโอกาสเข้ามาให้กับเราผ่านทางช่องทางใดช่องทางหนึ่งเองโดยที่เราไม่รู้ตัว แต่ที่น่าตลกร้ายก็คือ โอกาสมักจะมาตอนที่ไม่พร้อม นั่นคือ ไม่พร้อมลงมือทำเนื่องจากไม่มีเวลา กับ ไม่พร้อมเพราะคิดว่ายังไม่ถึงเวลาของเรา

 

โดยปกติแล้ววิธีการจัดการกับ “โอกาส” ที่เข้ามานั้น มักจะอยู่นอกเหนือจากประสบการณ์ของเรา แต่สิ่งที่เราทำได้แน่ๆ คือการตัดสินใจที่จะเปิดรับทุกๆ “โอกาส” ที่เข้ามา เพราะการที่เราได้รับโอกาสย่อมแปลว่าคนอื่นมองเห็นว่าเราสามารถทำได้

 

ในทุกๆ โอกาส…

ถ้าเรามีความรู้สึก “อยากทำ” มากพอ

เราจะจัดสรรหาเวลามาลงมือทำมันได้อยู่ดี

 

ส่วนตัวแปรสุดท้ายที่สำคัญและจะเป็นตัวจัดระเบียบให้ทุกอย่างหล่อหลอมไปด้วยดี คือ “วินัย” เพราะวินัยจะทำให้เราสามารถทำอะไร “ซ้ำๆ” ได้ และมันจะกลับไปทำให้เกิด “ประสบการณ์” ที่ดี รวมถึงบังคับให้เราใช้ “เวลา” จดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นได้เรื่อยๆแม้จะไม่มีความอยากทำต่อแล้วก็ตาม … นั่นแหละมันจะพาเราไปพบกับ “โอกาส” ที่เข้ามา และสุดท้ายเราเองก็จะรู้ว่า เรา “ไม่ชอบ” อะไร ก่อนที่จะวนกลับไปเริ่มต้นสร้าง “วินัย” กับสิ่งใหม่

 

สุดท้ายแล้วการเดินทางสู่ความสำเร็จมีอยู่ 2 วิธี คือ การอดทนทำสิ่งที่เราอยู่กับมันซ้ำๆไปเรื่อยๆจนเจอแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ กับ เลิกทำสิ่งที่ไม่เวิร์กแล้วไปหาอะไรใหม่ที่เราสามารถอดทนทำมันได้ซ้ำๆไปจนถึงแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงเชื่อว่าการที่รู้ตัวว่าเราไม่ชอบอะไรนั้น มันจะเข้ามาช่วยลดระยะเวลาในการ “หาสิ่งใหม่ๆ” ได้ง่ายขึ้น

 

แต่อย่าลืมละกันว่า… ทั้งหมดนี้มันเป็นเพียงแค่ประสบการณ์ของผมเอง ใครทีได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ ก็ขอบอกว่าคุณไม่จำเป็นต้องเชื่อ ต้องมาทำตาม หรือถ้าหากว่าคุณคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ก็ขอให้คุณมองผ่านมันไปแล้วบอกกับตัวเองว่า ชั้น “ไม่ชอบ” ในสิ่งที่ไอ้นี่มันเขียนเลยแม้แต่นิด พร้อมกับกดปิดหน้าจอนี้ลงไป

 

… แล้วรีบเดินทางไปหา “แรงบันดาลใจใหม่” อย่างที่คุณต้องการ :)

 

 

-012 : ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เราคงได้แค่มองแล้วถอนหายใจเบา ๆ

 

 

สธ.เผยคนไทยฆ่าตัวตายสูงเป็นอันดับ 3 ของโลก

เผยส่วนใหญ่ใช้วิธีแขวนคอ

พบสาเหตุจากดื่มสุรา-ป่วยซึมเศร้า-ปัญหาสุขภาพในผู้สูงอายุบางครั้งผมก็นึกแปลกใจว่า ทำไมคนถึงฆ่าตัวตายมากขึ้น ทั้งๆ ที่เราควรจะมีความสุขล้นเหลือจากความสะดวกสบาย ความคิดดีๆ ที่ส่งผ่านหากัน ไปจนถึงกลุ่มก้อนสังคมที่รวมตัวกันจากสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นชื่นชอบ

 

โลกแคบลงให้เราติดต่อและมองเห็นกันได้ง่ายขึ้น

ความสำเร็จถูกยึดโยงใยให้ส่องผ่านและเหลือบตาดูได้เยอะขึ้น

 

ในแง่หนึ่ง…

เราจะเห็นความสำเร็จอันสูงส่งลิบลับจากคนกลุ่มหนึ่ง

 

และในอีกแง่หนึ่ง….

เราจะเห็นคนอีกกลุ่มหนึ่งหลงเชื่อว่า

มันมี “สูตรสำเร็จ” แห่งความสำเร็จ

 

อย่าหลงเชื่อความฉาบฉวยในทุกอย่างที่อยากได้

คิดว่าง่าย และเด็ดปลายยอดอ่อนมากินเลยโดยไม่ปลูกไม่สร้าง

 

เคยสังเกตไหมว่า .. กลุ่มก้อนที่เรา “รัก” และคิดว่า “ดี” ทั้งหลาย จะช่วยกันเสพติดในสิ่งเหมือนกัน พูดจาประสาเดียวกัน หลงไหลมี Passion ในชีวิตที่เราต้องการเหมือนๆกัน จนเป็นความรู้สึกแบบเดียวกันและคิดเหมือนกันไปเสียหมด

 

การแสดงความเห็นที่แตกต่างออกไปในกลุ่มก้อนนั้นๆ อาจจะทำให้ถูกมองว่า แตกแยกจากพวกเดียวกัน และไม่มีความฝัน ความหวัง และความรู้สึกร่วมกันอีกต่อไป ไม่ได้สิ เราต้องเป็นเหมือนๆกัน เพราะนั่นคือปลายทางแห่งความสำเร็จในทิศทางเดียวกัน

 

มาถึงจุดหนึ่ง.. กลายเป็นว่าเราลืมเลือนความเป็นตัวของตัวเอง และถูกหลอมรวมความเป็นตัวเองที่ “เหมือนกัน” เพื่อให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “ความสัมพันธ์” ในกลุ่มก้อนที่ไม่มีชื่อเรียก

 

และสุดท้ายเราก็ลืมไปว่า … เราต้องการอะไร ?

ฝันจะสร้างปราสาทใหญ่ แต่ยังปลูกหญ้าไม่เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับความสำเร็จไม่ได้เรียกว่าความล้มเหลว เพราะต่อให้คุณล้มอีกกี่ครั้ง คุณก็ยังสามารถเดินทางไปสู่ความสำเร็จได้ในวันใดวันหนึ่ง ถ้าหากคุณกล้าที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับมันด้วยตัวเอง

 

ฟังแล้วรู้สึกดี …

แต่ผมว่านี่ก็เป็นอีกกับดับของความรู้สึกที่อยากจะสำเร็จ

 

ถ้าหนทางสู่ความสำเร็จมันหอมหวานและงดงามจริง

ทำไมพวกคุณถึงยอมรับกับความล้มเหลวไม่ได้ล่ะ ?

 

ผมเหลือบมองผู้คนรอบตัวหลายกลุ่มก้อน เห็นพวกเขาเหล่านั้นพูดจาภาษาเดียวกัน และก่นด่าว่าผมคือคนคิดลบและไม่มีวันเข้าใจศาสตร์แห่งความสำเร็จ โดยเฉพาะเวลาที่ผมพูดถึงพวกเขา หรือต่อให้บางครั้งผมไม่ได้พูดถึงเขา เขาก็ยังคิดว่าผมพูดถึงอยู่ดี เพราะ อคติแห่งความสำเร็จมันถูกหล่อหลอมให้ฝังแน่นยิ่งกว่ารอยคราบที่ซักไม่ออกด้วยผงซักฟอกเสียอีก

 

ผมมองเห็นคนพูดไม่หยุดถึงความเก่งกาจของตัวเอง แต่เมื่อเขาเปลี่ยนเป็นคนฟัง เขากลับเมินเฉยที่จะฟังคนอื่นพูด และมันสะท้อนให้เห็นว่า โลกนี้ไม่มีใครอยากจะรับฟังความสำเร็จของใครจริงๆ แต่เราพร้อมจะพูดถึงความยิ่งใหญ่ของตัวเอง แม้ว่าความเป็นจริงความยิ่งใหญ่นั้นจะเป็นแค่เศษเสี้ยวของความสำเร็จที่ฝันไว้ก็ตาม

 

ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ แล้วกลายเป็นว่าทำให้รู้สึกว่า ผมกำลังว่าและก่นด่าใคร ผมก็คงต้องขอโทษไว้ด้วย ณ ตรงนี้ เพราะเอาจริงๆ แล้วผมแค่อยากระบายความคิดที่มีต่อสังคมในช่วงเวลาหนึ่งไว้ใช้เตือนสติตัวเอง แต่ถ้าเกิดมันไปทำลายฝัน ความคิดบวก และสิ่งดีๆ ของคุณไป ผมก็ขอแสดงความเสียใจมาด้วยความเคารพอย่างสูง

 

ถ้าคุณโกรธเกลียดผม หรือ โทษว่าผมก่นด่าความฝันของคุณ ผมคงทำได้แค่ถอนหายใจและคิดว่า ทำไมฝันของคุณมันช่างเบาบางจนถูกคนถากถางไม่ได้เอาเสียเลย

 

ส่วนถ้าใครที่เป็นพวกหันหัวสวนกระแสความสำเร็จ ต้องการเตือนสติให้โลกนี้ตรึกตรองดูก่อน ผมก็ชอบสิ่งที่คุณคิดเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้มีผลอะไรให้ใครฟังคุณหรอกครับ เพราะคุณก็คิดเหมือนคนอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อให้กลายเป็นอีกกลุ่มก้อนหนึ่งที่ “ต่อต้าน” ความสำเร็จ ให้ตัวเองรู้สึกดีเหมือนกันที่วันนี้คุณไม่ประสบความสำเร็จไง หรือคุณกล้าบอกไปตรงๆว่า อ้อ เราไม่ได้อยากจะประสบความสำเร็จเลยนะในชีวิต เราเลยต่อต้านคนที่มุ่งหาความสำเร็จ

 

อ่านมาถึงตรงนี้ คุณคงสงสัยว่าไอ้นี่มันต้องการจะบอกอะไร ทำไมผรุสวาทลั่นวาจาด่าเค้าไปทั่ว ผมก็บอกตรงๆว่า อ้อ ผมเป็นคนชั่วคนหนึ่งที่ไม่ได้คิดอะไรกับชีวิตมากเหมือนพวกคุณ แค่คนธรรมดาที่หายใจรอวันตายไปงั้นๆ

 

เพียงแต่ผมอยากพูดความรู้สึกทั้งหมดออกมาจากใจจริง และไม่ได้ต้องการจะอวยหรือติ่งใครให้เสียเวลา เพราะทุกวิธีคิดของคนเราก็มีปัญหา รวมถึงวิธีคิดของผมด้วยเช่นเดียวกัน

 

มันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความต่าง…

และถอนหายใจให้กับโลกนี้ที่แสนจะอ้างว้างเบาๆ

 

….ก่อนที่เราจะเข้าสู่ยุคต่อไป :)

 

 

-016 : 1 ปีที่ผ่านมา… กับบทสัมภาษณ์ที่ไม่เคยมีใครได้อ่าน

 

บทสัมภาษณ์นี้เป็นบทสัมภาษณ์ที่ผมถูกถามไว้เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ผมเอากลับมาเรียบเรียงใหม่ด้วยตัวเองอีกครั้งและลงเป็นที่ระลึกไว้ในที่นี้ เพราะบทสัมภาษณ์ฉบับนี้คงไม่ได้ถูกตีพิมพ์อีกแล้วครับ

Q : แนะนำตัวหน่อยครับว่าพี่เป็นใครมาจากไหน ?

 

สวัสดีครับ พี่ชื่อ “หนอม” ครับ ถนอม เกตุเอม เจ้าของเพจ TAXBugnoms เป็นบล็อกเกอร์ด้านภาษีและการเงิน วิทยากร นักเขียน อาจารย์พิเศษ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต แล้วก็เป็นข้าราชการในหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งครับ

 

จบการศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโทด้านบัญชีครับ แล้วประกาศนียบัตรด้านภาษีอากร ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เคยทำงานเป็นผู้ช่วยผู้สอบบัญชีอยู่ที่สำนักงานสอบบัญชีแห่งหนึ่งครับ  แล้วก็เคยทำธุรกิจบ้าๆบอๆมากมายตั้งแต่ขายตรงไปจนถึงทำเว็ปไซต์ครับ

Q : พี่มาเริ่มทำเพจ Taxbugnoms ได้ยังไงครับ

 

มันเริ่มมาจากตอนที่ตัวเองลาออกจากงานด้านสอบบัญชี มาเป็นข้าราชการ ตอนนั้นก็รับทำงานหลายแบบ ทั้งพวกพวกโปรโมทเวปไซด์ รับทำปรับแต่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ติดอันดับกูเกิ้ล (SEO) ทำพวก Affiliate ต่างๆ แล้วก็ได้มีโอกาสมาเรียนปริญญาโทด้านบัญชีที่จุฬา โดยมีวิชาหนึ่งชื่อว่า “บัญชีภาษีอากร” ทีนี้ที่เรียนปริญญาโทอยู่มันจะมีเพื่อนๆแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ช่วยกันถอดเทปออกมาเป็นชีทไว้อ่านสอบ ช่วยๆกันสรุปข้อมูลอะไรแบบนี้

 

ตอนนั้นเราก็ทำงานที่เกี่ยวกับด้านภาษีอยู่แล้ว เราก็เห็นว่าเรามีข้อมูลตรงนี้ เราทำเวปไซต์เป็นด้วย และตอนนั้นมันยังไม่มีใครทำเรื่องพวกนี้เลย เราก็สงสัยว่า เออ… แล้วทำไมไม่มีใครพูดเรื่องภาษีง่ายๆวะ เพื่อนๆ หรือคนรู้จัก เวลามีปัญหาภาษีอะไรก็มักจะโทรมาถามตลอด ตอนนั้นรู้ตัวเองนะว่าไม่ได้เก่งเรื่องภาษีมากหรอก แต่ว่าโอเคเรียกว่าพอรู้เรื่อง พอมีความเข้าใจในระดับนึง

 

ทีนี้.. พอได้โอกาสลงมือทำ มันก็เหมือนกันเอาความรู้มาพัฒนาตนเอง เลยทำ Blog ชื่อว่า “บล็อกภาษีข้างถนน” (tax.bugnoms.com) ข้อมูลในการทำเวปไซด์ตอนแรกก็เอามาจากไฟล์ที่เพื่อนๆถอดเทปมานี่แหละ เอามาเขียนใหม่ให้มันเป็นภาษาตัวเอง ตอนแรกก็ยังเป็นภาษาทางการอยู่แหละ

 

แรกๆที่ทำบล็อกเนี่ย ไม่มีคนดูเลย คนเข้ามาวันละ 10 – 20 คนเองมั้ง ผ่านไปประมาณ 2 ปี เราก็เริ่มมาทำ Facebook Fanpage ขึ้นมาในชื่อ TAXBugnoms นี่แหละ ตอนนั้นได้ทางเพจ Thailand Investment Forum มาช่วยแนะนำ ซึ่งมันก็เกิดจากความหน้าด้านของเราเองนี่แหละ เราส่งข้อความไปทาง Message แนะนำตัวกับทางพี่เค้าว่า ”ผมกำลังทำเพจชื่อนี้อยู่ครับ มีรายละเอียดยังงี้ๆๆๆ ถ้าสนใจและคิดว่าดี ผมอยากให้พี่แนะนำให้หน่อยครับ (คือหน้าด้านมากเลยกูเนี่ย)”

 

หลังจากนั้นพี่เค้าก็ตอบกลับมา และช่วยแนะนำให้ ตอนนั้นจำได้ว่ามีคนกด Like เพจอยู่ประมาณ 800 คนได้ พอพี่เค้าแนะนำเพจให้ก็ขึ้นมา 2,000 กว่า ๆ เรานี่แบบโคตรดีใจชิบหายเลย คิดว่าสุดยอดแล้วนี่ชีวิตกู ประสบความสำเร็จมากๆแล้วในตอนนั้น (หัวเราะ)

 

ทีนี้พอเริ่มมีคนรู้จักเพิ่มขึ้น มีคนช่วยแนะนำเพจเพิ่มขึ้น อย่างจ่าพิชิต Drama-Addict ก็เคยช่วยเหลือ มันก็เลยมีคนเข้ามาถามคำถามบ่อยขึ้น จนรู้แล้วว่าอ้อมันมีแนวทางหรือเรื่องที่อยากรู้แบบไหน เราก็เขียนบล็อกเพิ่มใส่สไตล์ของตัวเองเข้าไปมากขึ้น

 

ประกอบกับ ช่วงนั้นก็เริ่มมาสนใจด้านการลงทุนพอดี (ประมาณ 3-4 ปีก่อน) คือ เริ่มลงทุนมาได้สักพักก็เลยแชร์ประสบการณ์ความรู้ด้านการลงทุนของตัวเองแบบผิดๆถูกๆ หมายถึงเรื่องที่เราผิดพลาด หรือเรื่องที่เราทำได้ เพราะเรามองตัวเองเสมอว่าเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เราเป็นเหมือนกับชาวบ้านที่คิดลงทุนเหมือนๆกันแต่แค่มาแชร์ประสบการณ์ให้คนมีความสนใจมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเราก็ใช้เงินแบบว่าแย่มาก

 

Q : เล่าเรื่องนี้ให้ฟังหน่อยครับ ที่บอกว่าใช้เงินแย่มาก

 

คือตอนแรกทำงานเอกชนได้เงินเดือนสูงสุดตอนนั้นประมาณ 3-4 หมื่นบาท และให้ที่บ้านประมาณ 2 หมื่นบาท ส่วนเงินที่เหลือทั้งโอที ค่าจ็อบอะไรพวกนี้เราเอามาใช้หมดเลย ตอนนั้นแฮปปี้สุดๆ เราคิดว่าโคตรรวยเลย เรียกได้ว่า อะไรที่อยากได้ เราซื้อหมดเลย โคตรเปลืองเลยครับ

 

เรื่องกินก็เหมือนกันต้องกินหรู กินข้างถนนไม่ได้ มันร้อนต้องเข้าห้าง ตอนนั้นเราทำงานแถวๆย่านกลางเมือง เราก็กินทุกวันแหละ ของดี สิ้นเดือนก็หมดตัว แต่ว่าไม่รู้สึกอะไร แต่พอเวลาผ่านไปเราก็เริ่มมองเห็นว่า เฮ้ย แล้วทำไมคนอื่นมีเงินทำไมเราไม่มีเงิน (อ้อ..เพราะเค้าเก็บเงินไง)

 

เราก็เริ่มมาบริการจัดการชีวิตใหม่ เริ่มบริหารเงิน จัดการชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นตามความสามารถ ยิ่งพอย้ายมาทำราชการ เงินเดือนละฮวบเหลือไม่ถึงหมื่น มันยิ่งตอกย้ำว่า เฮ้ย …เราต้องรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว

 

Q : แล้วแบบนี้พี่ไม่ลำบากหรอครับ ?

 

มันถือว่าเป็นเรื่องโชคดีอยู่อย่างหนึ่งที่ว่า ต้นทุนทางบ้านของเราโอเค มีฐานะในระดับหนึ่งไม่ได้ลำบากที่เราต้องไปช่วยเหลือ ขอแค่อย่างนึงที่เราเตือนตัวเองเสมอก็คือ อย่าไปทำให้เค้าต้องลำบากเพราะเรา ดังนั้นเราก็ควรรับผิดชอบตัวเองบ้าง อย่าสปอยตัวเอง ถ้าเค้าถามว่ามีเงินไหม เราก็บอกมีเงิน ถีงไม่มีเงินเราก็บอกว่ามี พยายามหาเงิน หารายได้อื่น จัดการชีวิตตัวเองไม่ให้ต้องพี่งใคร แล้วก็จะได้กลับไปดูแลเขาได้บ้าง จำได้ว่าตอนนั้นก็ไม่ซื้ออะไรเลย ข้าวเช้ากินบ้านข้าวเย็นก็กินบ้าน

 

หลังจากทำราชการชีวิตก็เปลี่ยนเลย แต่ก่อนไอ้ที่กินนู่นนั่นนี่ไม่ได้ กระแดะคิดว่าตัวเองเป็นคนเจ๋ง คนคูล พอไปอยู่อีกสังคมหนึ่ง เราสำนึกเลยว่า เฮ้ย … บางอารมณ์เงินแม่มไม่ใช่คำตอบ บางคนเขามีความสุขมากกว่าคนมีเงินเยอะๆเสียอีก เราเลยนึกได้ว่า โอเค.. เงินมันไม่ได้สำคัญกับชีวิตมาก ถ้าหากเราบริหารจัดการเงินเป็น สุดท้ายมันก็ค่อยๆเปลี่ยนตัวเรามาให้จัดการชีวิตตัวเอง เริ่มมาทำงานเขียน หาความรู้ ทำเพจอย่างที่เล่าไป … จนมาถึงทุกวันนี้

Q : ตอนนี้พี่ทำเพจมาประมาณ 5 ปีแล้วพี่ได้อะไรบ้าง ?

 

อย่างแรกที่แน่ๆ คือความรู้เพิ่มขึ้น อย่างที่บอกว่า แต่ก่อนตัวเองก็อาจจะพอรู้เรื่องของภาษีแต่มันก็เป็นในระดับของคนที่เรียนทฤษฏีมา แต่พอมาทำเพจด้านนี้ เราจะได้ความคิด มีคนมาแชร์ ได้เปิดกะโหลกมากขึ้น

 

อย่างที่สองคือ ได้รู้จักคนมากขึ้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่ตลกมาก ต้องเล่าก่อนว่าเมื่อก่อนเป็นคนที่แบบอินดี้มาก คือไม่ชอบรู้จักคน ไม่อยากรู้จักใคร ไม่ชอบเจอคน ไม่ชอบคุยกับใคร ไม่ชอบไปทำความรู้จักคน เรื่องเยอะมากกกกก แต่พอมาทำเพจ ทำให้เราต้องรู้จักคน และการรู้จักมันทำให้มีโอกาสเข้ามา จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนเรียกไปพูด ตื่นเต้นมาก เมื่อก่อนเป็นคนที่พูดไม่เป็นเลย อายมาก เป็นพวกเล่นมุขขำๆอยู่ในหมู่เพื่อนฝูง แต่พอออกไปข้างนอกก็จะเงียบๆกลัวๆ

 

ทีนี้มีคนจ้างไปพูด ครั้งนั้นมันเลยเปลี่ยนชีวิตเราเลย คือไอ้ความกลัว ความไม่ชอบมีนะ มีเยอะด้วย แต่คิดอย่างเดียวว่า ถ้าหากวันนี้ไม่กล้าเริ่มออกไปซักครั้ง เราก็คงไม่ได้ก้าวอีกแล้ว ก็เลยตัดสิน เอาวะ!! ไปก็ไป

 

ถามว่าดีไหม เราเชื่อว่า มันดีที่สุดแล้วนะ ณ ตอนนั้น กลับมานั่งถามตัวเองว่า เฮ้ย กูพูดได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ แถมแม่งยังได้เงินมาด้วย มันก็เริ่มเปลี่ยนทัศนคติตัวเองไป

Q : พี่มองตัวเองในอีก 2-3 ปีข้างหน้ายังไงบ้างครับ

 

คร่าวๆที่วางไว้ คงจะต้องเชี่ยวชาญภาษีมากขึ้นนะ คือ พอปีนี้ (2015) มาได้ร่วมงานกับ Aommoney เราก็จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ Aommoney จะเป็นความรู้สำหรับคนที่เป็นมือใหม่ถึงระดับกลางในเรื่องของภาษี แต่บล็อกที่เราเขียนอยู่เดิม จะทำให้มันเป็นเรื่องที่ยากขึ้น มีการวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดทางด้านภาษีให้ชัดเจนมากขึ้น

 

ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็คงเหมือนเดิมนะ เราว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่หาอะไรเพิ่มในวันนี้ แต่เป็นการเหลาอาวุธที่เรามีให้มั่นคงจะดีกว่า ถ้าอาวุธที่เรามีมันดีพอ มันจะช่วยต่อยอดให้เราเก่งขึ้น และมันจะพาไปสู่ด้านอื่นเอง

Q : พรี่หนอมคิดว่า เราควรคิดถึงคนอื่นตอนไหนครับ หมายถึงในแง่การช่วยหรือให้ความรู้คน คนที่จะสอนคนอื่นได้ จำเป็นต้องสำเร็จมาก่อนแล้วหรือเปล่า

 

มันมี 2 มุมมองนะ มุมแรก.. คนเราจะคิดถึงคนอื่นตอนที่ตัวเองมีพร้อม กับอีกมุม คือ คนเราคิดถึงคนอื่นตอนที่เราอยู่ระหว่างทางเดิน แต่ว่าคุณก็ไม่รู้หรอกว่าจุดไหนคุณจะพร้อม ดังนั้นจุดที่คุณควรจะเริ่มคิดได้คือจุดที่คุณไม่ได้ลำบากเกินไปที่จะช่วยคน และก็มีเวลาพอที่จะช่วยเหลือเขา

 

เหมือนเราไปทำบุญที่วัดเราอาจจะทำ 20 บาทก็ได้ นั้นก็คือจุดที่เริ่มคิดถึงคนอื่น คุณไม่ต้องรอให้มีแบบ 100 ล้าน ผมทำจะ 2 แสน แบบนี้มันเสียเวลาไง

Q : สิ่งที่ดีที่สุดในความเป็นพรี่หนอม คืออะไร?

 

เป็นคำถามที่ดีนะ ชอบมากเลย พี่ว่ามันคือการปรับตัวนะ คือ ทุกวันนี้กูอยู่กับใครก็ได้ ถึงแม้มันจะแบบมีไม่ชอบบ้าง ทรมานบ้าง แต่การที่เราปรับตัวยอมรับเพื่ออยู่กับคนอื่นและตัวเองได้ มันเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่ามันดี .. อย่างน้อยมันดีสำหรับเราเองแหละ

Q : จากที่รู้จักพี่มา ผมมั่นใจว่าพรี่หนอมน่าจะได้ค้นพบและทำความรู้จักกับดาร์คไซค์ของตัวเองแล้ว มีวิธีการจัดการ การควบคุมมันยังไง

 

เรื่องนี้ไม่ต้องคิดอะไรมากนะ คิดแค่ว่าแบบคุณไม่ชอบให้ใครทำอะไรกับคุณ คุณก็อย่าไปทำอะไรกับเค้า คือการที่เราอยากทำเหี้ย เราหงุดหงิด อยากด่าคน อยากโวยวาย แต่คิดกลับกัน เค้าหงุดหงิดแต่เค้าควบคุมอารมณ์ที่จะไม่ด่าเราได้เราก็แฮปปี้ ดังนั้นเราตั้งตัวเองไว้เลยว่า เราไม่ชอบอะไร เราอย่าไปทำกับคนอื่น อันนี้มันเป็นกฎเหล็ก

 

ถ้าเราไม่ชอบอะไรซักอย่างแล้วเราไปทำเอง แปลว่าคุณยังควบคุมตัวเองไม่ได้ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบอกว่าไม่ชอบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่มีหลุดนะ ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เรามีหลุดเสมอแหละ แต่สิ่งที่เราทำได้คือเรียนรู้แล้วก็ปรับตัวให้มันดีขึ้นจริงๆ

Q : สิ่งที่เป็นเเรงผลักดัน ที่ทำให้พรี่หนอมสามารถให้ความรู้ผ่านทางบล็อกภาษีข้างถนนแบบต่อเนื่องมาตลอดเวลานานแสนนานแบบนี้คืออะไร ผมมองว่ามันยากนะ ที่จะทำแบบสม่ำเสมอ ในยุคแรกๆที่บล็อก หรือเพจให้ความรู้ ยังไม่เป็นที่สนใจขนาดนี้

 

การทำอะไรซักอย่าง มันต้องมองว่าเราได้อะไรนะ พูดอีกอย่าง เวลาเราทำอะไรซักอย่าง ต้องมองว่าคุณได้อะไรจากการทำยังงั้น

 

อย่างน้อยพี่ได้ทบทวนและสร้างเสริมความรู้ตัวเอง พี่ได้รู้ทางตัวเองว่าอยากจะเป็นคนที่รู้จริงด้านภาษี รู้เป้าหมายตัวเอง ทีนี้ก็กลับไปคำถามเมื่อกี้ที่บอกว่า ทำไมต้องให้คนอื่น ทั้งๆตอนนี้ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองพร้อม ตัวเองเก่งภาษี แต่ถ้ามีความรู้ที่ถ่ายทอดได้ เราให้เค้าไป มันก็เป็นระหว่างทางที่เราเดิน เราได้ประโยชน์ ได้ทบทวน คนอื่นก็ได้ประโยชน์ ได้ความรู้เพิ่มในสิ่งที่เราเขียนได้ มันก็ Win-Win ทุกคนนะ

 

ถามว่าอะไรผลักดันมาตลอดหลายๆปี ถ้าจะมีสิ่งผลักดันได้ก็น่าจะเป็น การที่ใครสักคนเห็นประโยชน์ของงานเรา อาจจะเป็นข้อความขอบคุณง่ายๆ กำลังใจเล็กน้อยๆจากอีเมลล์ ทำงานแล้วได้เงินบ้าง ได้รู้จักได้อนาคตต่างๆบ้าง มันก็ไม่ทำให้เราหยุดเขียนได้หรอก คือมันเป็นไปไม่ได้หรอกว่าเราอยู่ด้วยการถึกควายโบ้ทำอะไรนานๆต่อกัน แต่ว่าถ้าในจุดที่เราท้อแล้วมีอะไรมาแบบดันขึ้นมา สิ่งนี้มันจะทำให้เราลุกขึ้นได้ง่ายขึ้น

Q : Mindset สำคัญ ที่คนเป็นต้นแบบ หรือกูรู จำเป็นต้องมี

 

(อันนี้คิดมานานมาก) สิ่งที่กูรูทุกคนต้องมีคือ ความซื่อสัตย์ ไม่ใช่ซื่อสัตย์ไม่คดโกงใครนะ ซื่อสัตย์ในที่นี้คือในเมื่อเราเป็นคนให้ความรู้คน สิ่งไหนที่คุณไม่รู้คุณก็บอกไม่รู้ ยอมรับไปเลย มันคือความจริง

 

เรามองว่าอันนี้มันจำเป็นมากนะ เพราะถ้าคุณไม่รู้แต่เสือกบอกว่ารู้ มันไม่ใช่กูรู คุณแม่งมั่วแล้ว สิ่งที่สำคัญสำหรับผู้รู้คือรับผิดชอบในสิ่งที่เราให้ไป สิ่งที่เราเขียน สิ่งที่เราพูด และต้องรับผิดชอบให้ได้

 

เพราะมันจะมีจุดหนึ่งคือพอกูรู้เยอะๆ มันจะมี Super E-go พลังงานบางอย่างขึ้นมาว่า เฮ้ยๆๆๆ กูต้องรู้ทุกเรื่อง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ยังไง มันก็มีบางคำถามที่พี่อาจตอบไม่ได้ พี่ก็ยอมรับว่าพี่ตอบไมได้ ดังนั้น Mindset สำคัญที่สุดของกูรู นั่นคือการที่คุณไม่ได้หลอกคนอื่น และคุณก็ไม่ได้หลอกตัวคุณเอง

Q : การเป็นกูรู เป็นคนให้ความรู้ แน่นอนว่ามีหลายคนให้ความสนใจในแนวคิด การใช้ชีวิต เรื่องพวกนี้ทำให้รู้สึกกดดันบ้างไหม

 

การที่มีคนมาสนใจเรามันก็ดี เพราะมันแปลว่า งานของเราก็ได้รับความสนใจมากขึ้น ไม่รู้สึกกดดันนะ ถ้าคุณคิดง่ายๆว่า ยังไงมันก็ดีกว่าไม่มีคนมาสนใจคุณ มันจะไม่กดดันอะไรหรอกใช่ปะ คือคนชมก็รู้สึกดี คนด่ารู้สึกแย่ แต่ถ้าวันหนึ่งไม่มีคนพูดถึงคุณเลยสักคำนี้แม่มแย่สุดนะ วิธีจัดการง่ายๆ คือ คุณก็เป็นสิ่งที่คุณอยากเป็นไปดิ ถ้าเค้าไม่ชอบคุณเค้าก็เลิกตามคุณเองแหละ ไม่ต้องคาดหวังอะไรหรอกของพวกนี้ สุดท้ายมันก็หายไป

Q : คิดว่า Mindset คน กับการใช้ชีวิตเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร

 

อันนี้ขอลอกคำพูดพี่หนุ่ม Money Coach มาเลยนะ เคยคุยกับแกแล้วชอบมาก คือ คนทุกคนอยากจะรวย แต่เค้ายังไม่รู้เลยว่าต้องมีเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่ารวย ทีนี้มีคนบางกลุ่มคิดว่าเห็นช่องว่างตรงนี้มาหากิน มันเลยกลายเป็นคนรวยเจอคนเหี้ย ก็เลยอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข และสุดท้ายคนดีก็ไม่มีแดกต่อไป เพราะมันก็ยึดมั่นในความรู้สึกดีๆ โลกมันก็เป็นอย่างนี้

 

ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หากเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็น่าจะล่มสลาย วนไปวนมาเรื่อยๆ เดี๋ยวก็มาใหม่ แบบนี้แหละ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ควรจะเป็น Mindset จริงๆก็คือ เชื่อตัวเองนิดนึงก่อนไหม? ใครพูดอะไรมารับหมดเลย ไม่กรองเลย ทำอันนี้ดีก็ทำ อันนู้นดีก็ทำ อันนั้นดีก็ทำ สรุปทำทุกอย่างแต่ชีวิตไม่เคยดีขึ้นเลย

Q : พรี่หนอมหนีภาษีครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

 

พี่มั่นใจว่าชีวิตพี่ไม่เคยหนีภาษีนะเว้ย คือถ้าคุณคิดว่าผมหนีภาษีคุณจับผมให้ได้ก่อนนะครับ แล้วค่อยมาพูด (หัวเราะ) เอาจริงๆ โคตรเกลียดคำพูดคำหนึ่งที่ว่า “ใครๆแม่งก็โกง” คือถ้ามึงเหี้ยก็อย่าเอาคนอื่นไปร่วมหัวจมท้ายกับตัวเองด้วยเลยครับ

Q : รูปแบบภาษีในความคิดพี่ที่เหมาะกับคนไทยเป็นแบบไหน

 

เราชอบเอาเรื่องคอรัปชั่นไปผูกกับการจ่ายภาษี มันแปลกมาก เพราะสิ่งที่เราต้องดูคือการคิดอัตราภาษีเหมาะสมกับคนที่จะจ่ายหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าดูเงินที่จะจ่ายไปถูกนำไปบริหารหรือเปล่า เพราะท้ายที่สุดใครมาบริหารเราไม่รู้ สมมติคนบริหารดีไม่โกงภาษีประเทศดี แต่ถ้าอัตราไม่เหมาะสมคนใหม่มามันก็จะโกงยิ่งกว่าเดิม มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโกงไม่โกงไง มันเกี่ยวกับโครงสร้างและระบบภาษี เช่น เก็บภาษีกับคนจนเหมาะสมไหม ? เก็บกับคนรวยเหมาะสมไหม ไปโฟกัสตรงนั้น ไม่ใช่เก็บเท่าไหร่ก็ได้ ขอให้ทำประโยชน์ให้ประเทศ

 

หรืออีกคำพูดคือ ไม่อยากจ่าย จ่ายไปก็โกง มันตลกมาก มันตบหน้าตัวคุณเองว่าคุณก็โกงกฏหมาย เหมือนคุณด่าตำรวจ แต่ตำรวจจะแจกใบสั่งคุณให้ตำรวจเลยร้อยนึง แล้วคุณก็ไปด่าตำรวจ

 

สิ่งสำคัญคือดูพื้นฐานระบบของการการเสียภาษีที่ถูกต้อง การจัดเก็บที่ถูกต้อง เหมาะสมไหม เพราะจริงๆแล้วเราก็รู้กันดีกว่าภาษีไม่มีใครชอบที่จะจ่าย ดังนั้นสิ่งที่ต้องใส่ใจคือที่จ่ายทุกวันนี้มันถูกต้องและเหมาะสมแล้วหรือยัง

Q : สุดท้ายอยากฝากอะไรที่ประทับใจกับทางบ้านบ้างครับ

 

ออกไปทำมาหากินกันเถอะครับ อย่ามัวแต่ฝัน ประสบการณ์จากการลงมือทำสำคัญกว่าเยอะครับ