027 : ถ้าทำงานนี้แล้วไม่ได้เงิน … มึงจะยังทำงานนี้อยู่หรือเปล่า?

ถ้าทำงานนี้แล้วไม่ได้เงิน …
มึงจะยังทำงานนี้อยู่หรือเปล่า?

 

ผมเคยถามคำถามแบบนี้กับตัวเอง 2 ครั้ง …
ครั้งแรก มันเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมตัดสินใจเริ่มต้นเขียนบล็อกด้วยความรู้สึกสั้นๆที่เรียกว่า “อยากลองดู”

นับตั้งแต่วันแรกที่เขียนบล็อกเรื่องราวไดอารี่ส่วนตัว เพราะคิดว่าความคิดและแนวทางการเขียนของตัวเองนั้นช่างเลิศหรูเสียเต็มประดา อีกทางหนึ่งก็คิดว่ามันถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจเขียนบล็อกให้ความรู้ เพื่อที่จะได้รับรู้ว่าเราได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนี้

วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ แต่รวดเร็วพอที่ผมจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่แปรผัน…
2 ปีแรกหลังจากที่ตัดสินใจ “ลงมือทำ” ความจริงแรกที่พบเห็น คือ ไดอารี่ขีวิตมึงนั้นไม่มีใครสนใจ เพราะมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับชีวิตเขา และความจริงลำดับสองที่ตามมา คือ ความคิดคำคมที่มึงเสกสรรปั้นแต่งมานั้นมันช่วงกลวงกากเหมือนซากอ้อย

ความจริงลำดับสามที่ทำให้ท้อถอย คือ เรื่องราวความรู้ที่พยายามจะแชร์ มันเป็นได้แค่การก็อปปี้ความคิด คำสอนของอาจารย์หลายๆท่าน รวบรวมมาเป็นเหมือนคาสเซ็ทรวมเพลงฮิตที่ไม่ถูกจริตกับคนฟัง

 

AM

 

ไม่ต้องรอฟังคำหล่อๆของไอน์สไตน์อย่าง “มีแต่คนบ้าเท่านั้น ที่จะทําสิ่งเดิมซ้ํา ๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง” ให้มากระทบเข้าหู สำนึกและสติที่เป็นตัวกูของกูคงพอที่จะคิดเองได้แล้วล่ะว่า สิ่งที่เราทำนั้นมันช่างไร้ค่า ดังนั้นควรจะทำต่อหรือเลิกราไปซักที ถ้าเลิกก็จบ ถ้าต่อก็ไม่รับประกันว่าจะสำเร็จ เพราะความอดทนและความพยายามที่ผิดที่ ก็เหมือนคนโง่ที่พาตัวเองเสียเวลาชีวิตไปวันๆ

ขอบคุณที่วันนั้นผมตัดสินใจไม่เลิกรา และน่าแปลกที่ผลลัพธ์ของมันกลับมาปรากฎในปีที่ 4 เติบโตในปีที่ 5 และมาเบ่งบานแก่กล้าในปีที่ 6 จนกลายเป็นว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดนั้นเหมือนเรื่องง่ายดายที่เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยในอากาศ รอแค่คนมาสูดดมเข้าไปเหมือนกาวแล้วดึงดาวแห่งความสำเร็จมาประดับไว้ตรงบ่า มาจนถึงวันนี้ความพยายามที่ผ่านมาก็ยังคงถูกใครหลายคนสูดดมแล้วบอกด้วยคำพูดฉลาดๆเข้าใจโลกว่า “เพราะคุณมีโอกาสที่ดีกว่าคุณเลยทำได้”

เมื่อเส้นทางเดินที่ชัดเจนถูกจุดติด สิ่งที่ตามมาทั้งหมดในชีวิตนั้น มันกลายเป็นโอกาส ซึ่งถูกแบ่งแยกย่อยออกเป็น “โอกาสที่ต้องทำ” “โอกาสที่ควรทำ” และ “โอกาสที่เราเองก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับมันดี”

โอกาสที่เข้ามาให้เราตักตวง ถูกภาพลวงของการ์ดกับดักทำงานตามไปด้วย ผมเริ่มหลงระเริงอยู่กับโอกาส เริ่มฝันหวานกับความก้าวหน้า เริ่มสูดดมกัญชาที่ทำให้เราคิดว่าเรากลายเป็นผู้ที่แน่นอนกับความสำเร็จ แต่สติเล็กๆน้อยๆ คอยฉุดรั้ง ความรู้สึกตัวเองว่าโอกาสเหล่านี บางครั้งบางทีอาจนำพาให้เราล้มจนเจ็บเจียนตายก็ได้

 

ถ้าทำงานนี้แล้วไม่ได้เงิน …
มึงจะยังทำงานนี้อยู่หรือเปล่า?

 

เมื่อถึงจุดนั้น สิ่งที่เราใช้ต่อสู้ต้านการ์ดกับดัก คือ ถามคำถามเดิมซ้ำๆกับตัวเอง ให้มันตอกย้ำเข้าไปถึงสิ่งที่เราต้องการมากกว่า “เงิน” แน่ล่ะว่าเงินมันซื้อทุกอย่างได้ และมันช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น

แต่คำถามที่ตามมาคือ บางอย่างที่เงินซื้อไม่ได้สำหรับเรานั้นคืออะไร และงานที่เราเลือกทำนั้นทำให้เราได้สิ่งนั้นกลับมาหรือเปล่า เช่น ประสบการณ์ที่ได้ร่วมงานกับคนเก่ง (ซึ่งถ้าใช้เงินซื้อก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้หรือไม่) ความรู้สึกดีๆ ที่ได้เป็นผู้ให้หรือไ้ด้รับการยอมรับ (เงินซื้อได้ แต่เราจะภูมิใจในตัวเองเท่านี้หรือเปล่า) หรือแม้แต่การเลือกที่จะไม่ทำงานเพื่อเงิน เพราะต้องการ “เวลา” ในช่วงเดียวกันทำอย่างอื่นในชีวิตที่เราคิดว่ามันมีค่ามากกว่าเงินที่ได้รับมา

พวกคุณไม่ต้องแปลกใจถ้าเจอหลายคนก่นด่าว่าทางที่เราเลือกนั้นเป็นทางที่โง่เง่า ไม่ต้องเศร้าถ้าหากเราจะเลือกทางเดินที่ผิดจนต้องเอ่ยคำว่า “รู้งี้” ออกมา ไม่ต้องท้อแท้ พูดจาร้องหาความดี เพราะบางทีสิ่งที่เราเลือก โอกาสที่เราใช้ มันอาจจะให้อะไรบางอย่างที่เจ็บปวด และไม่ได้แม้แต่เงินก็ตาม

เพราะสุดท้ายทางที่เราเลือกเดินนี่แหละมันจะเป็นคำตอบว่าเราชื่นชอบในการใช้ชีวิตของเราจริงๆหรือไม่ หรือสุดท้ายเราเป็นได้แค่เพียงคนโง่เง่าที่เอาแต่เสียเวลาคิดไปเองว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา

-001 : เราอยู่กับมันไม่นานพอ หรือ เรารอมันจนเบื่อไปเอง?

 

1.

ในวันที่โปเกมอนโก

เริ่มหายไปจากนิวฟีดส์ของเฟสบุ๊ค

ผมหยุดถามตัวเองว่า

เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นมาแล้วกี่ครั้ง?

เกิดขึ้น – ดึงความสนใจ – เลือนหายไป

ใครบางคนอาจเข้าใจว่ามันคือ

“อนิจจัง – ทุกขัง – อนัตตา”

 

2.

20 กว่าปีก่อนหน้านี้

ผมขอเงินแม่ซื้อกีตาร์โปร่งตัวแรก

เดินแบกไปเรียนที่โรงเรียนดนตรีชื่อดัง

ติดต่อกันเป็นเวลา 4 เดือนกว่า

 

พอขึ้นเดือนที่ 5

กีตาร์ตัวนั้นถูกวางทิ้ง-พิงอยู่ข้างฝาผนัง

 

3.

ความสำเร็จในชีวิต

ล้วนต้องอาศัยความพยายาม

 

แต่ความพยายามเพียงอย่างเดียว

ไม่อาจทำให้เกิดความสำเร็จได้เลย

 

เราเห็นคนมากมายประสบความสำเร็จ

เรามองมุ่งไปที่ผลลัพธ์ที่ประทับใจ

แต่มองข้ามทางที่เดินผ่านมาไปหมดสิ้น

 

และคงไม่ได้แปลกอะไร

ถ้าใครสักคนถูกลืมเลือนไป

เพราะมีคนสำเร็จคนใหม่ขึ้นมาแทน

 

4.

เสพย์อะไรทุกคนเป็นแบบนั้น

อยู่กับคนแบบไหน จะได้อย่างนั้น

เราเป็นค่าเฉลี่ยของ 5 คนที่เราคลุกคลี

 

คำกล่าวดีๆเหล่านี้

ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เดินไปต่อ

 

จนบางครั้ง…

เราลืมรอเพื่อหยุดดูความล้มเหลว

ราวกับทองคำเปลวแผ่นเล็กๆ

ที่ถูกแปะไว้เพื่อสัมผัสแต่ผิวเผิน

 

5.

โปเกมอนโก ค่อยๆ เลือนหาย

กีตาร์ตัวเดิมถูกเปลี่ยนสภาพ

กลายเป็น กล้อง กอล์ฟ แกดเจ็ท แฟชั่น

 

ส่วนความสำเร็จนั้น

คล้ายยังคงต้องการสิ่งขับเคลื่อน

 

ในขณะที่มิตรภาพของ 5 คน

ลืมเตือนให้เราจำกำพืดตัวเอง

 

และผมเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า

“ความครื้นเครงของการมีชีวิต”

-002 : 10 บันทึกสั้นๆ ในวันที่ไม่ได้สำคัญอะไร

 

1.

“วันเกิดยังทำงานอีกหรอคะ?”

น้องโปรดิวเซอร์รายการทีวีเอ่ยถามผม

 

นั่นสินะ…

ผมลืมวันเกิดตัวเองไปตั้งแต่เมื่อไรกัน

 

หรือว่าจริงๆแล้ว

เราให้ความสำคัญเรื่องอื่นมากกว่าตัวเอง

 

2.

“เราว่าปีนี้มันเป็นปีที่หนักสำหรับเรานะ”

ผมเอ่ยปากพูดกับคนรู้ใจ เธอพยักหน้าหงึกหงัก

 

เป็นอีกปีหนึ่งที่ต้องผ่านมันไปด้วยงานที่มากมาย ยังไม่วายตามมาด้วยการเปลี่ยนทั้งวิถีชีวิตและภาระ

 

เวลาเดี่ยวนี้มันผ่านไปไว อยากทำอะไรต้องรีบทำ ผมบอกกับเธอแบบนั้น ทั้งๆที่ไม่มั่นใจเลยว่า เวลาของผมยังเหลืออยู่อีกเท่าไร

 

3.

สุขสันต์วันเกิดนะ ขอให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่คิดนะลูก ให้สุขกายสบายใจ โชคดีในสิ่งที่คิด สมหวังในสิ่งที่ทำ

 

ข้อความทาง Line ที่แม่ส่งมา…

เป็นสิ่งตอกย้ำว่าเทคโนโลยีทำให้ทุกคนมีระยะห่างที่ลดลง

 

4.

ไม่มีข้อคิดอะไรฝากนะครับ

ชีวิตตัวเองยังเอาไม่รอดเลยอ่ะคนับ

 

ผมทิ้งท้ายข้อความนี้ไว้ใน Status

เพื่อขอบคุณคนที่อวยพรวันเกิดใน Facebook

 

นึกสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่า นิสัยที่ชอบแนะนำ สั่งสอนใคร มันหายไปไหนหมด

 

ถ้าไม่เกิดจากอายุที่มากขึ้น คงเกิดจากความรู้สึกบางอย่างที่ลดน้อยลง

 

5.

“หนูว่าพี่ชอบเสือกอ่ะ พี่ถามเค้าก่อนมั้ยว่าอยากให้ช่วยหรือเปล่า”

 

Feedback ที่ตรงและแรงนั้นมีคุณค่า

ถ้าหากคุณมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้น

ผมยิ้มให้หน้าจอเมื่อเห็นข้อความนี้ เพราะอย่างน้อยความดีของเราก็มีคุณค่ากับบางคน

 

6.

งานหนัก ความตั้งใจ เป็น 2 คำที่มาคู่กัน แต่เป็นนามธรรมที่ไม่มีตัววัดผล

 

เราทำงานหนัก?

แต่สิ่งที่คนต้องการคือ “ผลงาน”

 

เราตั้งใจทำงาน?

แต่สิ่งที่คนต้องการคือ “ผลงาน”

 

1 ปีที่ผ่านมาคุณมีผลงานอะไรบ้างล่ะ

คำถามที่ตบหน้าเบาๆให้รู้สึกถึงคุณค่าของเวลาและเหมือนกระแทกด้วยหมัดเข้าที่เบ้าตา ให้รู้สึกถึงความไม่มีคุณค่าของตัวตน

 

7.

การบิดเบือนความทรงจำ

คือ สิ่งที่เราควรยอมรับว่ามันเกิดขึ้นจริง

 

เพราะสิ่งที่เราเชื่อนั้น มันถูกบิดเบือนมาเรียบร้อยแล้ว ด้วยเวลา ความรู้สึก อารมณ์ และการตัดสิน

 

คนสุดท้ายสิ่งที่เราอยากให้คนอื่นได้ยิน

มันจะหลงเหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวของความจริง

 

8.

ถ้าอยากดูสันดานคนชัดๆ ให้ดูสิ่งที่เขาปฎิบัติกับคนที่ไม่มีประโยชน์กับเขา

 

เพราะมันวัดอะไรบางอย่างได้เสมอ จากความเผลอเรอที่เขาลืมนึกถึงมันไป

 

9.

“ทุกอย่างมันเป็นเหมือนที่พี่พูดไว้เลย”

คำกล่าวถึงอดีต พูดกับผมในปัจจุบัน

 

แต่มันไม่ได้ทำให้ผมเชื่อเลยว่า

อนาคตข้างหน้ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆ

 

10.

ความพ่ายแพ้ทำให้เราเข้มแข็ง แต่บางครั้งมันก็ทำให้เราจมอยู่กับมันซ้ำๆ เพราะหวังว่าสักวันเราจะชนะมันได้เอง

ชัยชนะทำให้เราอ่อนแอ โดยเฉพาะในวันที่มันเปลี่ยนเป็นความพ่ายแพ้ ความรู้สึกแย่เพียงครั้งเดียวจะทลายทุกอย่างลง

 

 

-004 : เมื่อเราเติบโตขึ้น เรากลับพบว่าชีวิตมันไม่ได้ “อร่อย” เหมือนเคย

 

เมื่อเราเติบโตขึ้น

เรื่องที่รับรู้มันไม่ได้มีแต่อร่อยเหมือนเคย

ทำให้รู้สึกว่าแต่ก่อนเรานี่เป็นอีป้าโลกสวยในกะลาจริงๆ

แต่ก่อนเชื่อว่าชีวิตแม่มคอนโทรลได้สิ คนที่ยังคอนโทรลไม่ได้

 

อาจเป็นเพราะยังไม่เข้าใจตัวเอง ยังไม่เข้าถึงอะไรแบบนี้

ผมนั่งอ่าน Status ที่ว่านี้ในเพจๆหนึ่ง แล้วย้อนนึกถึงตัวเองในวันเก่าๆ กับประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตถึงระดับที่เรียกได้ว่าเข้าสู่วัยกลางคน สังเกตได้จากเส้นผมดำที่ลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ จนทำให้เราต้องคอยปกปิดความขาวด้วยสารเคมีที่ผ่านการคัดสรรว่ามาจากธรรมชาติ

 

ก่อนที่จะกลายเป็นโฆษณายาย้อมผมไปมากกว่านี้ คำถามที่มีอยู่ในใจก็เริ่มปรากฎชัดเจนขึ้นว่า ยิ่งเราเติบโตขึ้น สิ่งที่เราคิดนั้นควรเปลี่ยนแปลงไป หรือ ยังยึดมั่นอยู่กับมันเหมือนอย่างเดิม ถ้าให้ตอบแบบสวยงามตามเนื้อผ้าก็ควรจะมีทั้งสองอย่าง คือ สิ่งที่ดีควรจะยึดถือไว้ และ สิ่งที่ไม่ดีก็ควรจะเปลี่ยนแปลงไป

 

แต่หากตอบโดยมองโลกจากมุมมองของตัวผมเอง ผมเชื่อว่าทุกสิ่งที่เราคิดนั้นต้องเปลี่ยนแปลงไปเสมอ แต่เหตุผลที่บางความคิดยังไม่ถูกเปลี่ยนไปนั้น มันคงเป็นเพราะยังไม่มีสถานการณ์มากระทบให้เราต้อง “เปลี่ยน” มากกว่า

 

ลองจินตนาการเล่นๆขึ้นมาว่า ถ้าหากคุณเป็นคนที่ยึดมั่นในความดี แต่ถูกรังแกด้วยความชั่วช้าที่ถาโถมเข้ามาเรื่อยๆในชีวิต วันหนึ่งคุณอาจจะเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงกลายเป็นคนที่ไม่ศรัทธาความดีอีกต่อไป หรือต่อให้คุณกล้าบอกว่า คุณยังศรัทธาความดีอยู่ก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วสายตาที่คุณมองโลกนั้นก็จะไม่เหมือนเดิมอยู่นั่นแหละ นี่คือเหตุผลที่ผมให้คำตอบกับตัวเองว่า ทุกความคิดนั้นมีสิทธิ์เปลี่ยน

 

คำถามต่อมาหลังจากคำตอบว่า “ทุกคนทุกสิ่งล้วนต้องเปลี่ยนแปลง” คือ การเปลี่ยนแปลงที่ว่าอยู่ในระดับไหน ระหว่าง “ปัจจัยภายนอกที่มาตกกระทบให้ภายในเปลี่ยน” หรือ “ปัจจัยภายในเปลี่ยนเพราะอยากจะเปลี่ยนให้สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นดีขึ้นกว่าเดิม” กันแน่

 

และต่อให้ “ประสบการณ์เปลี่ยนเราแค่ไหน แต่สุดท้ายเราต้องเปลี่ยนตัวเอง” คำพูดคมๆคุ้นๆ ที่เคยบอกผมว่า ถึงแม้สภาพแวดล้อมหรือประสบการณ์ที่ว่านั้น มันคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตัวเราจากภายนอกและมันอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะสภาวการณ์ต่างๆล้วนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ตะกอนความคิดจากภายในที่ถูกสร้างขึ้นมาจากตัวเราเองนี่แหละ จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

 

ลองจินตนาการต่อไปว่า ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่เจอคนโกงมาเยอะมากๆ มันย่อมไม่แปลกที่คุณจะไม่ไว้ใจใคร (จากประสบการณ์) แต่ไม่ได้แปลว่าคุณต้องไม่ศรัทธาในความดี หรือยึดถือว่าสายตาที่คุณมองโลกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง (จากสิ่งที่อยู่ภายใน) และในขณะเดียวกัน ถ้าคุณเจอแต่คนดีมาโดยตลอด ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะสามารถไว้ใจใครได้ 100% จากโลกที่เราเจอ

 

“อย่าคิดว่าชีวิตมันจะนิ่ง ถ้าอายุมึงยังไม่ถึง 40”

 

คำพูดสั้นๆที่ผมจำขึ้นใจจากปากของพี่ที่เคารพ อาจเป็นหนึ่งแรงผลักดันที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านในช่วงวัยกลางคนกลับกลายเป็นการพยายามทำความเข้าใจโลก มากกว่าความพยายามที่จะสร้างโลกที่เราเข้าใจเหมือนอย่างในวัยก่อนหน้านี้

 

ในวันที่เราอายุ 20-30 โลกที่เราแบกไว้ดูเหมือนยิ่งใหญ่ เราเห็นใครหลายคนที่ประสบความสำเร็จจาก “ต้นทุน” ที่มีมาไม่เท่ากัน และ “ความสามารถ” ที่แตกต่างสร้างสรรค์จากธรรมชาติกอปรกับความพยายามที่จะสร้างมันขึ้นมาด้วยไฟของหนุ่มสาว

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป หากมีโอกาสได้ย้อนมองดูตัวเองในสิ่งที่ผ่านมา และมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงที่หนักหนาในวัยที่เกินกว่า 30 ปี การเสื่อมถอยของคนรุ่นก่อน ภาระความรับผิดชอบที่อาจจะไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเราเพียงคนเดียว ผูกพันลดเลี้ยวไปจนถึงความคงที่บางอย่างที่ “นิ่ง” จนอาจกลายเป็นหลุมพรางในการใช้ชีวิต ทำให้เริ่มรู้สึกสัมผัสถึงความซับซ้อนของการเป็นมนุษย์ และมันก็ทำให้สะทกสะท้อนใจไม่ใช่น้อยว่า

 

ไอ้ชีวิตที่เราคิดว่าเราเข้าใจนั้น…

จริงๆเราไม่ได้เข้าใจมัน .. แม้แต่นิดเดียว :)

 

 

-005 : ถ้าทำงานนี้แล้วไม่ได้เงิน … มึงจะยังทำงานนี้อยู่หรือเปล่า?

 

ถ้าทำงานนี้แล้วไม่ได้เงิน …

มึงจะยังทำงานนี้อยู่หรือเปล่า?

ผมเคยถามคำถามแบบนี้กับตัวเอง 2 ครั้ง ครั้งแรก มันเกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว ตอนตัดสินใจเริ่มต้นเขียนบล็อกด้วยความรู้สึกสั้นๆ ว่า “อยากลองทำดู” นับตั้งแต่วันแรกที่เขียนบล็อกเรื่องราวไดอารี่ส่วนตัว เพราะคิดว่าแนวคิดและแนวเขียนของตัวเองนั้นช่างเลิศหรูเสียเต็มประดา มาจนถึงวันที่ตัดสินใจเขียนบล็อกให้ความรู้ เพื่อที่จะลองดูว่าเราจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนี้

 

วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ แต่ก็รวดเร็วพอที่ผมจะเห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงชนิดที่เรียกว่าแปรผัน 2 ปีแรกหลังจากที่ตัดสินใจทำแบบนี้ ความจริงที่พบเห็นได้อย่างนึงก็คือ ไดอารี่ขีวิตมึงนั้นไม่มีใครสนใจ เพราะมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับชีวิตเขา และความคิดคำคมที่มึงเสกสรรปั้นแต่งมานั้นมันช่วงกลวงและกากเสียเต็มประดา ส่วนความรู้ที่พยายามจะแชร์มาน่ะหรือ มันก็เป็นแค่การก็อปปี้ความคิด คำสอนของอาจารย์หลายๆท่าน รวบรวมมาเป็นบทความที่ไร้ความสำคัญกับชีวิตคนเหมือนเดิม

 

ไม่ต้องมีคำหล่อๆของไอน์สไตน์อย่าง “มีแต่คนบ้าเท่านั้น ที่จะทําสิ่งเดิมซ้ํา ๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง” ให้ฟัง สำนึกและสติก็คงพอที่จะคิดเองได้ว่า สิ่งที่เราทำนั้นมันช่างไร้ค่า ดังนั้นควรจะทำต่อหรือเลิกราแล้วต่อกันดี ถ้าเลิกก็จบ ถ้าต่อก็ไม่รับประกันว่าจะสำเร็จ เพราะความอดทนและความพยายามที่ผิดที่ ก็เหมือนคนโง่ที่พาตัวเองเสียเวลาชีวิตไปวันๆ เท่านั้นเอง

 

น่าแปลกที่ผลลัพธ์ของมันปรากฎในปีที่ 4 เติบโตในปีที่ 5 และมาเบ่งบานแก่กล้าในปีที่ 6 จนกลายเป็นว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดนั้นเหมือนเรื่องง่ายดายที่เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยในอากาศ รอแค่คนมาสูดดมเข้าไปเหมือนกาวแล้วดึงดาวแห่งความสำเร็จมาประดับไว้ตรงบ่า จนถึงวันนี้ความพยายามที่ผ่านมาก็ยังคงถูกใครหลายคนสูดดมแล้วบอกว่า “เพราะคุณมีโอกาสที่ดีกว่าคุณเลยทำได้”

 

เมื่อเส้นทางถูกจุดติด สิ่งที่ตามมาทั้งหมดในชีวิตเราจะเรียกมันว่าโอกาส ซึ่งโอกาสก็ถูกแบ่งแยกย่อยออกเป็น “โอกาสที่ต้องทำ” “โอกาสที่ควรทำ” และ “โอกาสที่เราเองก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับมันดี” และตรงนี้คือสิ่งที่จะมาเปิดประสบการณ์ให้เราก้าวไปต่อ จนผ่านมาได้ในถึงทุกวันนี้

 

และการ์ดกับดักก็เริ่มทำงาน เราเริ่มหลงระเริงอยู่กับโอกาส เริ่มฝันหวานกับความก้าวหน้า เริ่มสูดดมกัญชาที่ทำให้เราคิดว่าเรากลายเป็นผู้ที่แน่นอนกับความสำเร็จ แต่สุดท้ายแล้วความรู้สึกเหล่านี้อาจจะนำพาให้เราล้มจนเจ็บเจียนตายก็ได้

ถ้าทำงานนี้แล้วไม่ได้เงิน …

 

มึงจะยังทำงานนี้อยู่หรือเปล่า?

 

เมื่อถึงจุดนั้น สิ่งที่เราใช้ต่อต้านการ์ดกับดัก คือ ถามคำถามเดิมซ้ำๆ ให้มันตอกย้ำเข้าไปถึงสิ่งที่เราต้องการมากกว่า “เงิน” แน่ล่ะว่าเงินมันซื้อทุกอย่างได้แหละ แต่คำถามคือ บางอย่างที่เงินซื้อไม่ได้สำหรับเรานั้นคืออะไร และงานที่เราเลือกทำนั้นทำให้เราได้สิ่งนั้นกลับมาหรือเปล่า เช่น ประสบการณ์ที่ได้ร่วมงานกับคนเก่ง (ซึ่งถ้าใช้เงินซื้อก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้หรือไม่) ความรู้สึกดีๆ ที่ได้เป็นผู้ให้หรือไ้ด้รับการยอมรับ (เงินซื้อได้ แต่เราจะภูมิใจในตัวเองเท่านี้หรือเปล่า) หรือแม้แต่การเลือกที่จะไม่ทำงานเพื่อเงิน เพราะต้องการ “เวลา” ในช่วงเดียวกันทำอย่างอื่นในชีวิตที่เราคิดว่ามันมีค่ามากกว่าเงินที่ได้รับมา

 

ไม่ต้องแปลกใจถ้าเจอหลายคนก่นด่าว่าทางที่เราเลือกนั้นเป็นทางที่โง่เง่า ไม่ต้องเศร้าถ้าหากเราจะเลือกทางเดินที่ผิดจนต้องเอ่ยคำว่า “รู้งี้” ไม่ต้องท้อแท้ พูดจาร้องหาความดี เพราะบางทีสิ่งที่เราเลือก โอกาสที่เราใช้ มันอาจจะให้อะไรบางอย่างที่เจ็บปวด และไม่ได้แม้แต่เงินก็ตาม

 

เพราะสุดท้ายทางที่เราเลือกเดินนี่แหละมันจะเป็นคำตอบว่าเราชื่นชอบในการใช้ชีวิตของเราจริงๆหรือไม่ หรือสุดท้ายเราเป็นได้แค่เพียงคนโง่เง่าที่เอาแต่เสียเวลาคิดไปเองว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา

 

 

-007 : ประสบการณ์ในเดือนที่แย่ที่สุดของชีวิต

 

สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจไว้.. หลังจากทำบล็อก “พรี่หนอม” ขึ้นมาใหม่แทน “บล็อกควายๆของนายหนอม” คือ การเริ่มต้นเขียนเนื้อหาใหม่ในมุมมองที่เปลี่ยนไปตามวัยที่มากขึ้น (แก่) และวางแผนกับตัวเองเอาไว้คร่าวๆว่าจะเขียนบล็อกให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งเรื่อง ซึ่งก็เป็นไปตามแผนแต่โดยดีหากนับจากเดือนมีนาคม 2559 เป็นต้นมา และก็หักเหมาจนล้มไม่เป็นท่าในเดือนมิถุนายน 2559

 

โดยปกติแล้ว ผมมีงานที่ต้องเขียนในแต่ละเดือนประมาณ 15-20 เรื่อง ตั้งแต่งานเขียนลงบล็อก บทความ หรือนิตยสารต่างๆ (มีทั้งเขียนฟรีและได้เงินค่าเขียนเล็กๆน้อยๆ) แต่ไม่รวมงานเขียน Advertorial และงาน Ghost Writer อื่นๆที่รับจ้างตามความต้องการของตลาดในขณะนั้น

 

นอกจากงานเขียนแล้ว ผมก็เริ่มที่จะเพิ่มเติมคลิปวีดีโอลงยูทูปอาทิตย์ละ 1-2 เรื่อง และถ้าหากที่ต้องเขียนลงพรี่หนอมด้วยก็คงจะได้ประมาณ 30 เรื่องต่อเดือนพอดี คิดเป็นเฉลี่ยวันละเรื่อง (ไม่รวมงานเขียนหนังสือ และทำความพร่ำเพร้อลง Facebook ส่วนตัว) และเนื่องจากงานเขียนนี้ถือเป็นรายได้เพียงส่วนหนึ่งจากงานที่ผมทำ มันย่อมแปลว่าผมต้องพยายามบริหารจัดการเวลาในการเขียนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด นั่นก็คือ เขียนให้เร็วขึ้น และ เขียนให้ดีขึ้น (แต่คิดว่าสิ่งที่เคี่ยวกรำให้งานเสร็จจริงๆนั้น คงเป็นพลังของเดตไลน์ที่ควบกระชั้นเข้ามากกว่า)

 

ในเดือนมิถุนายน 2559 มีเหตุการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้นในแบบที่ไม่คาดคิด ไปจนถึงสิ่งที่วางแผนไว้หลายๆอย่างผิดพลาด ทำให้ผมเกิดอาการติดสตั้นท์ขึ้นมาจนต้องทิ้งงานหลายๆอย่างไป และหนึ่งในนั้นคืองานเขียนบล็อกเรื่องราวส่วนตัวลงที่แห่งนี้ แบบชนิดที่เรียกได้ว่าไม่มีอารมณ์เขียนไปดื้อๆ (ขอโทษสำหรับใครหลายคนที่ถามถึงนะครับ.. แต่เอาจริงๆก็มีอยู่ 2-3 คนแค่นั้นเอง TwT)

 

วันนี้ได้ฤกษ์เขียนออกมาเสียที และสิ่งที่ผมอยากเขียนในวันนี้ มันคงเป็นแค่การบันทึกไดอารี่ของความรู้สึกในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อาจจะไม่ใช่แนวความคิด ปรัชญา บทความเสียดสีจิกกัดสังคม เหมือนที่เขียนตามปกติ แต่ผมถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมได้เรียนรู้และเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น และถ้าหากใครสักคนที่ได้เข้ามาอ่านมันเห็นว่ามีประโยชน์ ผมคงรู้สึกยินดีมากๆ ที่ประสบการณ์ชีวิตผมนั้นกลายเป็นกระจกสะท้อนอะไรบางอย่างให้กับใครคนนั้น (ที่หลงเข้ามา – -“)

 

เอาล่ะ.. ถึงเวลาเลิกเขียนอะไรหล่อๆ พร่ำเพร้อพรรณาแล้วล่ะฮะ มาลองดูละกันว่าในเดือนที่ผ่านมาผมมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกแบบไหนบ้าง

 

งานหนักกลายเป็นการบำบัดความรู้สึก

 

เรามักจะได้ยินกันคำกล่าวว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าคน” ถึงแม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้สักเท่าไร แต่ในช่วงที่ผ่านมาสิ่งที่เพิ่มขึ้นจากคำว่า “งานหนัก” นั้น ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นการบำบัดความเครียดได้เป็นอย่างดี เพราะมันทำให้เราต้องจดจ้องอยู่กับสิ่งอยู่ตรงหน้า มากกว่าปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านไปกับความเครียดที่เกิดขึ้นมา แน่ล่ะว่ามันไม่ได้ทำให้เราลืมสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันก็ยังดีกว่าการนั่งฟูมฟาย ระบาย หรือออกไปทำร้ายตัวเองให้แย่ลง ดังนั้นถ้าหากคุณมีปัญหาชีวิต ลองเลือกใช้งานหนักๆ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจสักช่วงหนึ่งก็ไม่เลวเหมือนกันครับ

 

ปัญหาเรื่องเงิน มันเกิดจากคน

ถ้าผมจำไม่ผิดคำพูดนี้น่าจะมาจากโค้ชหนุ่ม (Money Coach) ซึ่งเมื่อผมได้พบกับปัญหาเรื่องเงินที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวกลับยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกเลยว่า “มันเป็นความจริง” เพราะไม่ว่าจะมีเงินมากมายเท่าไร ไม่ว่าจะพยายามใช้เงินแก้ปัญหาแค่ไหน แต่สุดท้ายเราปฎิเสธไม่ได้หรอกว่า ปัญหาล้วนมาจากคน มากกว่า “เงิน”

 

ปัญหาที่ว่า คือ การใช้จ่ายของคนใกล้ตัวแบบไม่คิดหน้าคิดหลังในบางเรื่อง ซึ่งทำให้ผมรู้สึก “เสียดาย” แต่สิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ คือ “ความรู้สึก” ที่เสียไป และ “การกระทำ” ที่ไม่คาดคิดมากกว่า

 

เราปฎิเสธไม่ได้หรอกว่า ในโลกปัจจุบันนี้ เงินเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ วิธีการที่เราปฎิบัติต่อเงินในทุกๆวัน ที่ทำให้เราต้องหันมาตั้งคำถามว่า การหาเงิน การใช้จ่ายเงินของเรา มันกำลังทำร้ายคนรอบตัวเราอยู่หรือเปล่า?

 

เราด่าทอ “คนที่แตกต่างจากเรา”

เพียงเพราะเขาอาจจะเป็นคนที่เราเกลียด

 

ขอยอมรับตรงๆว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะชอบ “กูรู” ที่จัดงานสัมมนาแบบหลอกลวงสักเท่าไร โดยเฉพาะเรื่องของความสำเร็จแบบฉับไว ร่ำรวยทันใจ เพราะผมไม่ค่อยเชื่อในการทำอะไรแบบ “สั้นๆง่ายๆ” เพื่อให้ประสบความสำเร็จ “เร็วๆ” อย่างที่ต้องการ แต่ในอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ผมเตือนตัวเองในฐานะ “คนทำงาน” คือ วันหนึ่งเราอาจจะกลายเป็นอย่างเขาโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ เพราะไม่ว่าเขาจะขายความสำเร็จในรูปแบบไหนก็ตาม หรือเราจะก่นด่าเขารุนแรงแค่ไหน หากโชคดี เราก็ทำได้แค่เตือนสติใครสักคนที่อ่านเจอ แต่ถ้าหากโชคร้าย เราก็กลายเป็นคนสร้างศัตรูไปง่ายๆซะงั้น และถ้าวันนึงเราพลาดพลั้งเผลอไปทำบ้าง เราจะกล่าวอ้างกับตัวเองอย่างไร #เปิดการ์ดโลกสวย

 

ในช่วงนึงของชีวิตที่ผ่านมา ผมมักจะเขียนบทความประชดประชันแดกดันลงในเฟสบุ๊กส่วนตัวบ้าง หรือหลุดพูดจาไปบ้าง ซึ่งที่พูดมาก็ไม่ได้ต้องการจะขอโทษอะไรหรอกครับ เพราะทุกวันนี้ผมก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่เหมือนเดิมแหละ (อ้าว)

 

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในตอนนี้ มันคือทัศนคติในการทำงานของตัวเอง ยิ่งเราด่าเขา เรายิ่งต้องชัดเจนในการทำงาน ซึ่งผมก็พยายามเลือกทางที่จะ “หากิน” กับคนที่มีเงินจ่าย มากกว่าการ “หากิน” กับความฝันที่มีราคาของคน โดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างพอใจในการเขียนบทความ Advertorial ที่มีคนจ่ายเป็นแบรนด์ต่างๆ และการเป็นวิทยากรรับงานบรรยายมากกว่าจัดสัมมนาเอง ซึ่งทางที่ผมเลือกเดินแบบนี้บางครั้งมันก็เหนื่อย แต่ผมคิดว่าชีวิตเฉื่อยๆของผมคงไม่ได้ต้องรีบร้อนอะไรมากนัก

 

สิ่งที่น่าตลกในยุคที่กูรูกำลังเบ่งบานแบบนี้ ผมมองเห็นการเปลี่ยนผ่านจากคนที่เคยด่าผม กลายเป็นคนที่ด่าสิ่งที่ผมเคยด่า และมันก็ตลกตรงที่ว่าสุดท้ายแล้วเราก็ด่ากันไปกันมาอย่างสนุกปาก เพื่อความสะใจ แต่ไม่ได้เปลี่ยนให้อะไรมันดีขึ้นมา

 

หลังๆ ผมพยายามหยุดด่าคนที่ผมไม่ชอบในสิ่งที่เขาทำ (แน่ละ ยังคงมีด่าบ่นและกวนตีนอยู่บ้าง ตามประสาสันดานที่เลิกไม่ได้) แต่สิ่งที่ผมทำได้คือ แบ่งเวลามาทำผลงานที่เป็นทางเลือกให้กับพวกเขา เพื่อที่อย่างน้อยจะมีคนเห็นสิ่งที่เราให้โดยที่ไม่ต้องจ่ายด้วยมูลค่าหรือราคาที่แพง

 

ยิ่งเราโตขึ้น ปัญหาของเรายิ่งใหญ่ขึ้น

 

บททดสอบของชีวิตคนนั้น เริ่มตั้งแต่เป็นเด็ก เราทุกคนคงเจอปัญหาตั้งแต่ไม่สามารถใส่ถุงเท้าเองได้ ไปจนถึงกลายเป็นคนที่เธอทิ้ง และสุดท้ายสิ่งเหล่านั้นมันจะบอกว่า “มึงยังต้องเจออะไรอีกมากมาย”

 

ชีวิตบางคนดูคล้ายกับละคร ในขณะที่บางคนดูคล้ายว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง แต่นั่นแหละ ยิ่งเราเติบโตมากขึ้นเท่าไร ปัญหาในชีวิตมันก็จะมากและหนักขึ้นเท่านั้น สิ่งที่เราทำได้มีอยู่ 3 อย่าง คือสู้กับมัน ยอมรับมัน และปล่อยมันไป

 

ผมเชื่อว่า สิ่งที่ตามมาหลังจากเกิดปัญหา คือ หัวใจที่แข็งแกร่ง และประสบการณ์ที่แข็งขัน ที่จะช่วยให้เราฟันฝ่าชีวิตที่หนักขึ้นมาได้อีกเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต

 

ความเข้มแข็งของคนเราแตกต่างกัน

 

ต่อจากเรื่องของปัญหาที่ใหญ่ขึ้น … หลายครั้งหลายคราวที่ได้ยินคำบ่นที่สรุปใจความได้ว่า “ปัญหาของเราหนักกว่าคนอื่น” ผ่านทางคำพูด การกระทำ ข้อความ บทสนทนา ซึ่งมันก็เป็นความจริงที่ว่า “มนุษย์เราสนใจเรื่องของตัวเองมากกว่าคนอื่น” (แน่ละ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นแบบนั้น)

 

ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนอยู่กันและเรียนรู้ด้วยการแลกเปลี่ยน “ความรู้สึก” แก่กันและกัน ซึ่งมันแปลว่า สิ่งที่เราทำให้ใครคนหนึ่งที่เขามีปัญหาได้ คือ “รับฟัง” และ “เสนอแนะ” แต่ผู้ที่มีปัญหาคงต้องเลือกที่จะ “ฟัง” และ “ยอมรับ” ในสิ่งที่แตกต่างกับความคาดหวังของตัวเองด้วย

 

เมื่อเรามีปัญหา หลายครั้งเราคิดว่าคนที่เราให้ความสำคัญจะต้องมาช่วยแก้ไข แต่เอาแค่เข้าใจทฤษฏีที่ว่า “มนุษย์เราสนใจเรื่องของตัวเองมากกว่าคนอื่น” ก็คงเป็นสิ่งที่อยู่ในการพิจารณาลำดับแรกๆ ที่ต้องคิดอยู่ดีว่า “เราต้องแก้ปัญหาชีวิตเราด้วยตัวเอง”

 

เช่นเดียวกันกับผู้ที่หลุดพ้นปัญหานั้น มักจะมองเสมอว่า “ชีวิตกูยังหนักกว่ามึงเลย มึงจะอะไรนักหนากับเรื่องที่เกิดขึ้น” ในแง่มุมหนึ่งมันก็คงถูกต้อง แต่ “ความเข้มแข็งของมนุษย์” ที่แตกต่างกันนี่แหละ ทำให้มนุษย์แต่ละคนแบกรับมันไว้ได้ไม่เหมือนกัน และเราไม่มีสิทธิตีโพยตีพายบ่นออกมาหรอกว่า “ปัญหาของฉันนั้นหนักที่สุด” เพราะมันจะยิ่งตอกย้ำคำว่า “มนุษย์นั้นสนใจแต่เรื่องของตัวเอง” และมันน่าตลกตรงที่ว่ายิ่งเราคิดถึงปัญหาของเรามากแค่ไหน คนจะยิ่งไม่สนใจเรามากขึ้นเท่านั้น อาจจะเพราะเขาคิดว่า “แล้วมึงรู้ได้ไงล่ะว่าปัญหากูไม่หนัก?” กับ “กูก็เจอปัญหาไม่ต่างจากมึงหรอก แต่กูแค่ไม่แสดงออกเท่านั้น”

 

ถ้าหากวันนี้ชีวิตของเรามีปัญหา สิ่งที่เราควรทำ คือ แก้ไขด้วยตัวเองก่อน-อย่าคาดหวังให้ใครมาช่วย-อย่าเปรียบเทียบปัญหาของตัวเองกับคนอื่น และสุดท้ายคือ ปล่อยให้เวลามันจัดการปัญหาไปด้วยการทำใจยอมรับมะน

 

แต่ถ้าหากไม่ไหว ลองหาใครสักคนที่พอจะ “ฟัง” สิ่งที่เราอยาก “พูด” แล้วระบายมันออกมา โดยไม่ต้องแนะนำทางแก้ไขใดๆ แค่นั้นก็อาจจะพอแล้วที่ทำให้เรากลับมามีสติอีกครั้งหนึ่ง

 

กำลังใจเล็กๆน้อย คือ พลังที่ยิ่งใหญ่

 

โดยส่วนตัวผมไม่ใช่คนที่คิดบวกสักเท่าไร และก็ไม่ได้มองโลกตามความเป็นจริงเสียด้วย แต่ในช่วงที่แย่ที่สุดของชีวิต เราทุกคนล้วนต้องการกำลังใจเล็กๆน้อยๆที่ส่งผลให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ การตบบ่าให้กำลังใจเบาๆ แล้วกระซิบบอกว่า “สู้ๆ” ทั้งที่รู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้ มันอาจจะเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ใครหลายคนอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหลายวัน

 

ในช่วงที่เกิดปัญหาหนัก ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีที่สามารถเอาเรื่องเหล่านี้มาปลอบประโลมจิตใจได้ในระดับหนึ่ง ขอให้พื้นที่ตรงนี้ขอบคุณหลายๆคนที่ส่งต่อสิ่งเหล่านั้นมาให้ในวันที่แย่ๆของชีวิต (ทั้งที่พวกเขารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม) ตั้งแต่คำขอบคุณเล็กๆน้อยๆไปจนถึงคำปรึกษาราคาแพง ขอบคุณจริงๆครับ

 

การจากลาเป็นธรรมดาของมนุษย์

 

เกิดขึ้น – ตั้งอยู่ – ดับไป การจากลาเป็นธรรมดาของชีวิต ช่วงนี้เป็นอีกช่วงหนึ่งที่เพื่อนๆพี่ๆที่ทำงานได้เดินทางก้าวหน้าตามชีวิตและอาชีพ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี และแอบเศร้ากับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเหมือนเช่นเคย

 

ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นช่วงเดียวกันที่ใครบางคนเลือกที่จะทิ้งมิตรภาพดีๆ ที่มีกับผมไปเช่นเดียวกัน ซึ่งผมก็ทำได้แค่ “ยิ้มรับ” และหวังว่าเวลาคงจะช่วยเยียวยาทุกอย่างให้ชีวิตของเขาดีขึ้น

 

สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมเขียนขึ้นมานี้ มันก็เป็นเหมือนกับประสบการณ์ที่ผ่านมา ความเศร้า ความเหนื่อย ความท้อแท้ และความพยายามที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนนี้ เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์หนักหนาที่ผมไม่เคยเจอมาตลอดทั้งชีวิต และวันนี้ผมบันทึกไว้เพื่อบอกกับตัวเองว่า

 

เรากำลังเดินทางไปสู่ปัญหา

ปัญหาที่มีความหนักหนาขึ้น

ปัญหาที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

ปัญหาที่ทำให้ขีวิตยากขึ้น

 

แต่เชื่อเถอะว่า

เราจะผ่านมันไปได้อีกครั้ง

เหมือนกับที่มันเกิดขึ้นในวันนี้ :)

 

 

-009 : ความสำเร็จที่ไม่มีจริง คล้ายกับคนที่ถูกทิ้งให้ตายอย่างเดียวดาย

 

“แกน่าจะลองเขียนเรื่องพวกนี้ออกมาบ้างนะ”

 

คำพูดนี้มีพลังอย่างประหลาด ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนน้ำแข็งราดลงกลางศีรษะ เมื่อมิตรสหายท่านหนึ่งตอบกลับมาหลังจากได้ยินเรื่องที่ผมพูดเกี่ยวกับ “ความสำเร็จ” ของผู้ชายที่ไม่ประสบความสำเร็จคนนั้น

 

เราทั้งคู่นั่งอยู่ในร้านเหล้า-ไม่สิ-เราควรเรียกมันว่าร้านขายอาหารที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มันเป็นร้านประจำของผมและเธอที่ต้องมาเจอะเจอกันอยู่เสมอ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าร้านเก่าแก่แบบนี้กำลังจะปิดตัวลงเนื่องจากพิษเศรษฐกิจ–ใช่! เศรษฐกิจที่ว่าดีสำหรับบางคน–และย่ำแย่เหลือเกินสำหรับคนอีกหลายคน

 

ก่อนที่ค่ำคืนนี้จะเลือนหายไป

ผมมีเรื่องหนึ่งอยากเล่าให้คุณฟัง…

คุณเคยพยายามจะประสบความสำเร็จบ้างหรือเปล่า เขียนเป้าหมายออกมาลงในกระดาษ พาดหัวอย่างหนักในวันเริ่มต้นของปีใหม่ ตามมาด้วยการทบทวนเป้าหมายอยู่เป็นนิจ แล้วคอยสะกิดบอกกับตัวเองว่า “ฉันทำได้” ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนกำลังสัมมนาอยู่ในฮอลล์ปลุกใจของธุรกิจเครือข่ายขนาดใหญ่ ก่อนที่จะพบว่าจริงๆแล้ว ความสำเร็จที่เรากำลังลุ่มหลงนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นและสำคัญกับชีวิตเสียเท่าไรนักหรอก

 

เขาถามคำถามยาวยืดนั้นกับผมเบาๆ มันก็เป็นอีกวันที่ผมนั่งอยู่ร้านเหล้าร้านเดิม-ไม่สิ-ร้านอาหารที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ แต่วันนั้นร้านยังคราคร่ำไปด้วยผู้คนล้นหลาม ต่างคนต่างจับจ่ายใช้สอยราวกับงานที่ทำคือการพิมพ์แบงก์ออกมาจากอากาศ-โดยไม่ทีท่ารู้ตัวเลยว่าชีวิตจะลำบากอย่างในวันนี้

 

“พี่ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรนี่ครับ ทำไมถึงกล้าพูดแบบนั้น” ผมถามเขากลับไปแบบเกรงๆ เมื่อดูรอยสักรูปอินทรีย์ที่หลังมือพร้อมกับกล้ามแขนที่มีเส้นรอบวงใหญ่กว่าแขนผมสัก 2 เท่าได้

 

“เฮ้อ… การมีชีวิต ได้หายใจปกติ อยากจะเดินไปไหนมาไหนได้ นี่แม่งก็เรียกว่าประสบความสำเร็จได้แล้วนะคุณ คุณหาข้าวกินได้เอง มีเงินใช้ในแต่ละวัน มีฟูกดีๆให้นอนไม่ปวดหลัง แล้วคุณยังจะเอาอะไรอีกหรอ เอางี้ คุณจะเอาอะไรดีล่ะ ร้อยล้าน พันล้าน จิตวิญญาณแห่งการเป็นมนุษย์ผู้แบ่งปัน หรือฝันที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมไทย?” เขากล่าวตอบพลางสัพยอกผมที่หน้าถอดสีเบาๆ อาจจะเป็นเพราะเขารู้ว่าผมกำลังเมาอยู่นิดๆ ถึงได้กล้าถามอะไรที่ผิดปกติอย่างนี้ออกไป

 

ผู้ชายคนนี้ -เขา- เคยเป็นรุ่นพี่ที่ผมเคารพมากๆ มีเพียบพร้อมทุกอย่างจนถึงขั้นเรียกได้ว่า “หนุ่มเพอร์เฟค” แต่หลังจากเหตุการณ์การเมืองครั้งนั้น เขากลายเป็นคนที่ตกงาน ไร้ญาติ ส่วนหนึ่งเกิดจากอุดมการณ์ที่เลือกข้างผิด อีกส่วนหนึ่งเกิดจากความคิดที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออำนาจของเขาเอง

 

มาถึงวันนี้ความ “เพอร์เฟค” ของเขาเหมือนกับเงาสะท้อนความพิกลการของสังคมไทยที่ชอบพูดพล่ามถึงความดีไปพร้อมๆกับการหลบเลี่ยงภาษีโดยที่ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรแม้แต่น้อย

 

“เอาจริงๆนะคุณ ทุกวันนี้เราแม่งรู้สึกขาดเพราะถูกกระตุ้นด้วยการเปรียบเทียบ” เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นเก่ากึ้ก แต่มันยังใหม่พอที่จะพาเขาเข้าสู่โลกออนไลน์ด้วย “อวตาร” เพื่อเสพข่าวสารต่างๆที่เขาอยากรู้ความเป็นไปทุกอย่างของโลก ตั้งแต่ข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ การเมืองเลือกข้าง ไปจนถึงเด็กข้างบ้านสุดฮอต

 

“รู้มั้ย.. ผมชอบนั่งไล่แอดคนดังทั้งหลาย คุณรู้ไหมส่วนใหญ่คนพวกนี้เขารับแอดหมดนะ เพราะพวกเขาอยากมีเพื่อนเยอะๆ มีสังคมเยอะๆ จะได้เข้าหาผู้คนได้เยอะๆ คุณว่ามันแปลกไหมล่ะ? คนพวกนี้แม่มยิ่งดังแล้วกลับต้องการเพื่อนมากขึ้น แม้จะไม่ใช่เพื่อนจริงๆก็ตาม” เขาเปิดรูปอวตารหน้าจอสีดำล้วน พร้อมชื่อผู้ใช้งานชวนขบขันอย่าง “ผู้ชายอารมณ์ดี ยิ่งกว่านี้ก็บ้าแล้ว”

 

เขายื่นมือส่ง “โลกออนไลน์” ของเขาให้ผมดูไปพลางๆ พร้อมกับพูดต่อว่า “ลองดูนะ คุณจะเห็นคนที่ชอบโชว์ว่าตัวเองไปเที่ยวไหน คนที่โพสส่อเสียดก่นด่าสังคมเหมือนมีอะไรในใจ คนที่แชร์คำคมธรรมะ-คุณธรรม-เรื่องน่าอ่าน ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะพวกเขาอยากจะสร้างตัวตนของตัวเอง” เขาหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบต่อ ละเลียดรสชาติของมันสักพัก

 

“ยิ่งเขาประสบความสำเร็จมากแค่ไหน เขาก็ต้องพยายามที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นไป ทำตัวรู้เรื่องเข้าใจโลกให้มากขึ้น พูดถึงเรื่องความเก่งกาจของตัวเองบ่อยขึ้น จนคนรอบข้างชื่นชมและอยากเป็นอย่างเขา แต่เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเขาต้องการอะไรจริงๆในชีวิต”

 

เขาหยุดยิ้ม “คุณเชื่อไหมล่ะ.. ถ้าเราเห็นคนพวกนี้ทุกวัน ติดตามเขาไปเรื่อยๆ วันหนึ่ง เราก็จะค่อยๆรู้สึกอยากจะมี อยากจะเป็นขึ้นมาซะงั้น ยิ่งถ้าหากไอ้นั่นเป็นเพื่อนพี่ รุ่นน้อง คนรู้จักของคุณล่ะ รับรอง คุณก็จะยิ่งกดดันตัวเองและถามคำถามซ้ำๆว่า ทำไมวะ กูแม่มไม่ดีไม่เป็นเหมือนเขา”

 

“ผมว่า ผมไม่เป็นนะ.. ครับ เอ่อ พี่อาจจะคิด. คิดมากไป” ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าคุยกับจอมเผด็จการผู้ยิ่งใหญ่ด้านความคิดอยู่หรือเปล่า แต่ดูท่าเขามั่นใจและเชื่อถือในความคิดของตัวเองมากๆ มากเสียใจไม่ฟังใคร – หรือเป็นผมเองวะที่ต่อต้านเขาอยู่ในใจ – ผมคิด

 

“ฮ่าๆๆ” เขาตบไหล่ผมเสียงดัง แล้วก็ยิ้มกลั้วหัวเราะให้เบาๆ “ให้มันได้แบบนี้สิวะ ! นั่นมันก็แปลได้สองอย่าง คือ คุณไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น หรือคุณไม่เห็นความสำคัญของคนๆนั้น มันก็แค่นี้เอง”

 

“คุณอยากเป็นแบบผมไหมล่ะ ?” เขาถามคำถามที่ทำให้ผมสั่นหัวแบบรัวๆ “ในสายตาของคุณ สิ่งที่ผมพูดแม่งก็ไม่ได้มีคุณค่าอะไรหรอก มันเป็นแค่คำตอบของคนที่.. ยังไงล่ะ เอ้อ ไม่สำเร็จ แล้วมาทำตัวเป็นเอกอุพหูสูตผู้รู้แบบนั้น ทำตัวน่าเชื่อถือไปวันๆ เรียกว่า กลวงอะไรแบบนั้นก็ได้มั้ง ฮ่าๆๆ ”

 

“แต่ถ้าผมบอกว่าผมเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน จุดที่ไม่เคยฟังใคร คิดว่าจะตามหาสิ่งที่ใช่ ไล่ล่าเป้าหมาย แต่สุดท้ายวันที่ผมล้มลง ผมก็พบว่าจริงๆแล้วเป้าหมายที่ทุกคนควรทำได้คือการมีชีวิตที่อยู่รอดไปอีกหนึ่งวัน คนเราไม่ได้ต้องการความสำเร็จอะไรมากนักหรอก ไอ้ห่า” เขาพูดจบแล้วกระดกไวน์จนหมดแก้ว – ก่อนที่ลุกขึ้นเดินจากไป ผมปรายตาเห็นเขากำลังทักทายมาเฟียรุ่นใหญ่ในร้านอาหาร – คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง – ผมคิดตามประสาคนวิตกจริตบวกกับโรคแพนิคอ่อนๆ

 

…และนั่นเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้เห็นหน้าเขา

 

“แกกำลังคิดอะไรอยู่?”

 

ผมมองหน้า “เธอ” ก่อนจะสังเกตเห็นว่าควันบุหรี่จากปากของเธอดูคล้ายหมอกบางๆ และค่อยๆจางหายไปกับแสงไฟในร้าน พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

 

เราไม่รู้หรอกว่าที่เขาพูดในวันนั้น มันคืออะไร ? แต่พอมาถึงวันนี้ เราเริ่มกลับรู้สึกว่ามันใช่.. ไม่ใช่สิ มันกลายเป็นความจริงโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ทุกวันนี้เราถามตัวเองซ้ำๆนะว่า แล้วเอาเข้าจริง มนุษย์อย่างเราต้องการอะไรกันแน่

 

เธอยิ้ม.. แล้วตอบคำถามผมว่า “เราไม่มีวันรู้หรอกว่า ความสำเร็จคืออะไร จนกว่าเธอจะเริ่มต้นจากความล้มเหลว” – เธอชอบพูดประโยคคมๆ ให้ผมต้องตีความอย่างที่ไม่รู้ความหมายอีกแล้ว นี่เป็นประโยคที่ 458 ที่ผมเคยได้ยินจากเธอ แต่ไม่เคยกล้าถามกลับไปสักทีว่าสิ่งที่เธอพูดหมายความว่าอะไร – บางทีเธอคงคิดว่าผมโง่ – แต่ก็ช่างมันเถอะ จะมีอะไรดีกว่าในวันนี้ที่มีเพื่อนคนหนึ่งนั่งอยู่เคียงข้างกัน

 

จะพี่คนไหน จะเพื่อนคนไหน จะคนรอบตัวสักกี่คน พวกเขาเหล่านั้นจะรู้สึกถึงความสุขเล็กๆที่ผมได้มีเพื่อนนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ ในวันที่กำลังตกงานและไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไปบ้างไหมนะ

 

อยู่ๆ ผมก็คิดถึงประโยคที่พี่คนนั้นพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“คนเรามันไม่ได้ต้องการความสำเร็จอะไรมากนักหรอก”

 

 

-016 : 1 ปีที่ผ่านมา… กับบทสัมภาษณ์ที่ไม่เคยมีใครได้อ่าน

 

บทสัมภาษณ์นี้เป็นบทสัมภาษณ์ที่ผมถูกถามไว้เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ผมเอากลับมาเรียบเรียงใหม่ด้วยตัวเองอีกครั้งและลงเป็นที่ระลึกไว้ในที่นี้ เพราะบทสัมภาษณ์ฉบับนี้คงไม่ได้ถูกตีพิมพ์อีกแล้วครับ

Q : แนะนำตัวหน่อยครับว่าพี่เป็นใครมาจากไหน ?

 

สวัสดีครับ พี่ชื่อ “หนอม” ครับ ถนอม เกตุเอม เจ้าของเพจ TAXBugnoms เป็นบล็อกเกอร์ด้านภาษีและการเงิน วิทยากร นักเขียน อาจารย์พิเศษ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต แล้วก็เป็นข้าราชการในหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งครับ

 

จบการศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโทด้านบัญชีครับ แล้วประกาศนียบัตรด้านภาษีอากร ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เคยทำงานเป็นผู้ช่วยผู้สอบบัญชีอยู่ที่สำนักงานสอบบัญชีแห่งหนึ่งครับ  แล้วก็เคยทำธุรกิจบ้าๆบอๆมากมายตั้งแต่ขายตรงไปจนถึงทำเว็ปไซต์ครับ

Q : พี่มาเริ่มทำเพจ Taxbugnoms ได้ยังไงครับ

 

มันเริ่มมาจากตอนที่ตัวเองลาออกจากงานด้านสอบบัญชี มาเป็นข้าราชการ ตอนนั้นก็รับทำงานหลายแบบ ทั้งพวกพวกโปรโมทเวปไซด์ รับทำปรับแต่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ติดอันดับกูเกิ้ล (SEO) ทำพวก Affiliate ต่างๆ แล้วก็ได้มีโอกาสมาเรียนปริญญาโทด้านบัญชีที่จุฬา โดยมีวิชาหนึ่งชื่อว่า “บัญชีภาษีอากร” ทีนี้ที่เรียนปริญญาโทอยู่มันจะมีเพื่อนๆแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ช่วยกันถอดเทปออกมาเป็นชีทไว้อ่านสอบ ช่วยๆกันสรุปข้อมูลอะไรแบบนี้

 

ตอนนั้นเราก็ทำงานที่เกี่ยวกับด้านภาษีอยู่แล้ว เราก็เห็นว่าเรามีข้อมูลตรงนี้ เราทำเวปไซต์เป็นด้วย และตอนนั้นมันยังไม่มีใครทำเรื่องพวกนี้เลย เราก็สงสัยว่า เออ… แล้วทำไมไม่มีใครพูดเรื่องภาษีง่ายๆวะ เพื่อนๆ หรือคนรู้จัก เวลามีปัญหาภาษีอะไรก็มักจะโทรมาถามตลอด ตอนนั้นรู้ตัวเองนะว่าไม่ได้เก่งเรื่องภาษีมากหรอก แต่ว่าโอเคเรียกว่าพอรู้เรื่อง พอมีความเข้าใจในระดับนึง

 

ทีนี้.. พอได้โอกาสลงมือทำ มันก็เหมือนกันเอาความรู้มาพัฒนาตนเอง เลยทำ Blog ชื่อว่า “บล็อกภาษีข้างถนน” (tax.bugnoms.com) ข้อมูลในการทำเวปไซด์ตอนแรกก็เอามาจากไฟล์ที่เพื่อนๆถอดเทปมานี่แหละ เอามาเขียนใหม่ให้มันเป็นภาษาตัวเอง ตอนแรกก็ยังเป็นภาษาทางการอยู่แหละ

 

แรกๆที่ทำบล็อกเนี่ย ไม่มีคนดูเลย คนเข้ามาวันละ 10 – 20 คนเองมั้ง ผ่านไปประมาณ 2 ปี เราก็เริ่มมาทำ Facebook Fanpage ขึ้นมาในชื่อ TAXBugnoms นี่แหละ ตอนนั้นได้ทางเพจ Thailand Investment Forum มาช่วยแนะนำ ซึ่งมันก็เกิดจากความหน้าด้านของเราเองนี่แหละ เราส่งข้อความไปทาง Message แนะนำตัวกับทางพี่เค้าว่า ”ผมกำลังทำเพจชื่อนี้อยู่ครับ มีรายละเอียดยังงี้ๆๆๆ ถ้าสนใจและคิดว่าดี ผมอยากให้พี่แนะนำให้หน่อยครับ (คือหน้าด้านมากเลยกูเนี่ย)”

 

หลังจากนั้นพี่เค้าก็ตอบกลับมา และช่วยแนะนำให้ ตอนนั้นจำได้ว่ามีคนกด Like เพจอยู่ประมาณ 800 คนได้ พอพี่เค้าแนะนำเพจให้ก็ขึ้นมา 2,000 กว่า ๆ เรานี่แบบโคตรดีใจชิบหายเลย คิดว่าสุดยอดแล้วนี่ชีวิตกู ประสบความสำเร็จมากๆแล้วในตอนนั้น (หัวเราะ)

 

ทีนี้พอเริ่มมีคนรู้จักเพิ่มขึ้น มีคนช่วยแนะนำเพจเพิ่มขึ้น อย่างจ่าพิชิต Drama-Addict ก็เคยช่วยเหลือ มันก็เลยมีคนเข้ามาถามคำถามบ่อยขึ้น จนรู้แล้วว่าอ้อมันมีแนวทางหรือเรื่องที่อยากรู้แบบไหน เราก็เขียนบล็อกเพิ่มใส่สไตล์ของตัวเองเข้าไปมากขึ้น

 

ประกอบกับ ช่วงนั้นก็เริ่มมาสนใจด้านการลงทุนพอดี (ประมาณ 3-4 ปีก่อน) คือ เริ่มลงทุนมาได้สักพักก็เลยแชร์ประสบการณ์ความรู้ด้านการลงทุนของตัวเองแบบผิดๆถูกๆ หมายถึงเรื่องที่เราผิดพลาด หรือเรื่องที่เราทำได้ เพราะเรามองตัวเองเสมอว่าเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เราเป็นเหมือนกับชาวบ้านที่คิดลงทุนเหมือนๆกันแต่แค่มาแชร์ประสบการณ์ให้คนมีความสนใจมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเราก็ใช้เงินแบบว่าแย่มาก

 

Q : เล่าเรื่องนี้ให้ฟังหน่อยครับ ที่บอกว่าใช้เงินแย่มาก

 

คือตอนแรกทำงานเอกชนได้เงินเดือนสูงสุดตอนนั้นประมาณ 3-4 หมื่นบาท และให้ที่บ้านประมาณ 2 หมื่นบาท ส่วนเงินที่เหลือทั้งโอที ค่าจ็อบอะไรพวกนี้เราเอามาใช้หมดเลย ตอนนั้นแฮปปี้สุดๆ เราคิดว่าโคตรรวยเลย เรียกได้ว่า อะไรที่อยากได้ เราซื้อหมดเลย โคตรเปลืองเลยครับ

 

เรื่องกินก็เหมือนกันต้องกินหรู กินข้างถนนไม่ได้ มันร้อนต้องเข้าห้าง ตอนนั้นเราทำงานแถวๆย่านกลางเมือง เราก็กินทุกวันแหละ ของดี สิ้นเดือนก็หมดตัว แต่ว่าไม่รู้สึกอะไร แต่พอเวลาผ่านไปเราก็เริ่มมองเห็นว่า เฮ้ย แล้วทำไมคนอื่นมีเงินทำไมเราไม่มีเงิน (อ้อ..เพราะเค้าเก็บเงินไง)

 

เราก็เริ่มมาบริการจัดการชีวิตใหม่ เริ่มบริหารเงิน จัดการชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นตามความสามารถ ยิ่งพอย้ายมาทำราชการ เงินเดือนละฮวบเหลือไม่ถึงหมื่น มันยิ่งตอกย้ำว่า เฮ้ย …เราต้องรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว

 

Q : แล้วแบบนี้พี่ไม่ลำบากหรอครับ ?

 

มันถือว่าเป็นเรื่องโชคดีอยู่อย่างหนึ่งที่ว่า ต้นทุนทางบ้านของเราโอเค มีฐานะในระดับหนึ่งไม่ได้ลำบากที่เราต้องไปช่วยเหลือ ขอแค่อย่างนึงที่เราเตือนตัวเองเสมอก็คือ อย่าไปทำให้เค้าต้องลำบากเพราะเรา ดังนั้นเราก็ควรรับผิดชอบตัวเองบ้าง อย่าสปอยตัวเอง ถ้าเค้าถามว่ามีเงินไหม เราก็บอกมีเงิน ถีงไม่มีเงินเราก็บอกว่ามี พยายามหาเงิน หารายได้อื่น จัดการชีวิตตัวเองไม่ให้ต้องพี่งใคร แล้วก็จะได้กลับไปดูแลเขาได้บ้าง จำได้ว่าตอนนั้นก็ไม่ซื้ออะไรเลย ข้าวเช้ากินบ้านข้าวเย็นก็กินบ้าน

 

หลังจากทำราชการชีวิตก็เปลี่ยนเลย แต่ก่อนไอ้ที่กินนู่นนั่นนี่ไม่ได้ กระแดะคิดว่าตัวเองเป็นคนเจ๋ง คนคูล พอไปอยู่อีกสังคมหนึ่ง เราสำนึกเลยว่า เฮ้ย … บางอารมณ์เงินแม่มไม่ใช่คำตอบ บางคนเขามีความสุขมากกว่าคนมีเงินเยอะๆเสียอีก เราเลยนึกได้ว่า โอเค.. เงินมันไม่ได้สำคัญกับชีวิตมาก ถ้าหากเราบริหารจัดการเงินเป็น สุดท้ายมันก็ค่อยๆเปลี่ยนตัวเรามาให้จัดการชีวิตตัวเอง เริ่มมาทำงานเขียน หาความรู้ ทำเพจอย่างที่เล่าไป … จนมาถึงทุกวันนี้

Q : ตอนนี้พี่ทำเพจมาประมาณ 5 ปีแล้วพี่ได้อะไรบ้าง ?

 

อย่างแรกที่แน่ๆ คือความรู้เพิ่มขึ้น อย่างที่บอกว่า แต่ก่อนตัวเองก็อาจจะพอรู้เรื่องของภาษีแต่มันก็เป็นในระดับของคนที่เรียนทฤษฏีมา แต่พอมาทำเพจด้านนี้ เราจะได้ความคิด มีคนมาแชร์ ได้เปิดกะโหลกมากขึ้น

 

อย่างที่สองคือ ได้รู้จักคนมากขึ้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่ตลกมาก ต้องเล่าก่อนว่าเมื่อก่อนเป็นคนที่แบบอินดี้มาก คือไม่ชอบรู้จักคน ไม่อยากรู้จักใคร ไม่ชอบเจอคน ไม่ชอบคุยกับใคร ไม่ชอบไปทำความรู้จักคน เรื่องเยอะมากกกกก แต่พอมาทำเพจ ทำให้เราต้องรู้จักคน และการรู้จักมันทำให้มีโอกาสเข้ามา จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนเรียกไปพูด ตื่นเต้นมาก เมื่อก่อนเป็นคนที่พูดไม่เป็นเลย อายมาก เป็นพวกเล่นมุขขำๆอยู่ในหมู่เพื่อนฝูง แต่พอออกไปข้างนอกก็จะเงียบๆกลัวๆ

 

ทีนี้มีคนจ้างไปพูด ครั้งนั้นมันเลยเปลี่ยนชีวิตเราเลย คือไอ้ความกลัว ความไม่ชอบมีนะ มีเยอะด้วย แต่คิดอย่างเดียวว่า ถ้าหากวันนี้ไม่กล้าเริ่มออกไปซักครั้ง เราก็คงไม่ได้ก้าวอีกแล้ว ก็เลยตัดสิน เอาวะ!! ไปก็ไป

 

ถามว่าดีไหม เราเชื่อว่า มันดีที่สุดแล้วนะ ณ ตอนนั้น กลับมานั่งถามตัวเองว่า เฮ้ย กูพูดได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ แถมแม่งยังได้เงินมาด้วย มันก็เริ่มเปลี่ยนทัศนคติตัวเองไป

Q : พี่มองตัวเองในอีก 2-3 ปีข้างหน้ายังไงบ้างครับ

 

คร่าวๆที่วางไว้ คงจะต้องเชี่ยวชาญภาษีมากขึ้นนะ คือ พอปีนี้ (2015) มาได้ร่วมงานกับ Aommoney เราก็จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ Aommoney จะเป็นความรู้สำหรับคนที่เป็นมือใหม่ถึงระดับกลางในเรื่องของภาษี แต่บล็อกที่เราเขียนอยู่เดิม จะทำให้มันเป็นเรื่องที่ยากขึ้น มีการวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดทางด้านภาษีให้ชัดเจนมากขึ้น

 

ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็คงเหมือนเดิมนะ เราว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่หาอะไรเพิ่มในวันนี้ แต่เป็นการเหลาอาวุธที่เรามีให้มั่นคงจะดีกว่า ถ้าอาวุธที่เรามีมันดีพอ มันจะช่วยต่อยอดให้เราเก่งขึ้น และมันจะพาไปสู่ด้านอื่นเอง

Q : พรี่หนอมคิดว่า เราควรคิดถึงคนอื่นตอนไหนครับ หมายถึงในแง่การช่วยหรือให้ความรู้คน คนที่จะสอนคนอื่นได้ จำเป็นต้องสำเร็จมาก่อนแล้วหรือเปล่า

 

มันมี 2 มุมมองนะ มุมแรก.. คนเราจะคิดถึงคนอื่นตอนที่ตัวเองมีพร้อม กับอีกมุม คือ คนเราคิดถึงคนอื่นตอนที่เราอยู่ระหว่างทางเดิน แต่ว่าคุณก็ไม่รู้หรอกว่าจุดไหนคุณจะพร้อม ดังนั้นจุดที่คุณควรจะเริ่มคิดได้คือจุดที่คุณไม่ได้ลำบากเกินไปที่จะช่วยคน และก็มีเวลาพอที่จะช่วยเหลือเขา

 

เหมือนเราไปทำบุญที่วัดเราอาจจะทำ 20 บาทก็ได้ นั้นก็คือจุดที่เริ่มคิดถึงคนอื่น คุณไม่ต้องรอให้มีแบบ 100 ล้าน ผมทำจะ 2 แสน แบบนี้มันเสียเวลาไง

Q : สิ่งที่ดีที่สุดในความเป็นพรี่หนอม คืออะไร?

 

เป็นคำถามที่ดีนะ ชอบมากเลย พี่ว่ามันคือการปรับตัวนะ คือ ทุกวันนี้กูอยู่กับใครก็ได้ ถึงแม้มันจะแบบมีไม่ชอบบ้าง ทรมานบ้าง แต่การที่เราปรับตัวยอมรับเพื่ออยู่กับคนอื่นและตัวเองได้ มันเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่ามันดี .. อย่างน้อยมันดีสำหรับเราเองแหละ

Q : จากที่รู้จักพี่มา ผมมั่นใจว่าพรี่หนอมน่าจะได้ค้นพบและทำความรู้จักกับดาร์คไซค์ของตัวเองแล้ว มีวิธีการจัดการ การควบคุมมันยังไง

 

เรื่องนี้ไม่ต้องคิดอะไรมากนะ คิดแค่ว่าแบบคุณไม่ชอบให้ใครทำอะไรกับคุณ คุณก็อย่าไปทำอะไรกับเค้า คือการที่เราอยากทำเหี้ย เราหงุดหงิด อยากด่าคน อยากโวยวาย แต่คิดกลับกัน เค้าหงุดหงิดแต่เค้าควบคุมอารมณ์ที่จะไม่ด่าเราได้เราก็แฮปปี้ ดังนั้นเราตั้งตัวเองไว้เลยว่า เราไม่ชอบอะไร เราอย่าไปทำกับคนอื่น อันนี้มันเป็นกฎเหล็ก

 

ถ้าเราไม่ชอบอะไรซักอย่างแล้วเราไปทำเอง แปลว่าคุณยังควบคุมตัวเองไม่ได้ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบอกว่าไม่ชอบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่มีหลุดนะ ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เรามีหลุดเสมอแหละ แต่สิ่งที่เราทำได้คือเรียนรู้แล้วก็ปรับตัวให้มันดีขึ้นจริงๆ

Q : สิ่งที่เป็นเเรงผลักดัน ที่ทำให้พรี่หนอมสามารถให้ความรู้ผ่านทางบล็อกภาษีข้างถนนแบบต่อเนื่องมาตลอดเวลานานแสนนานแบบนี้คืออะไร ผมมองว่ามันยากนะ ที่จะทำแบบสม่ำเสมอ ในยุคแรกๆที่บล็อก หรือเพจให้ความรู้ ยังไม่เป็นที่สนใจขนาดนี้

 

การทำอะไรซักอย่าง มันต้องมองว่าเราได้อะไรนะ พูดอีกอย่าง เวลาเราทำอะไรซักอย่าง ต้องมองว่าคุณได้อะไรจากการทำยังงั้น

 

อย่างน้อยพี่ได้ทบทวนและสร้างเสริมความรู้ตัวเอง พี่ได้รู้ทางตัวเองว่าอยากจะเป็นคนที่รู้จริงด้านภาษี รู้เป้าหมายตัวเอง ทีนี้ก็กลับไปคำถามเมื่อกี้ที่บอกว่า ทำไมต้องให้คนอื่น ทั้งๆตอนนี้ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองพร้อม ตัวเองเก่งภาษี แต่ถ้ามีความรู้ที่ถ่ายทอดได้ เราให้เค้าไป มันก็เป็นระหว่างทางที่เราเดิน เราได้ประโยชน์ ได้ทบทวน คนอื่นก็ได้ประโยชน์ ได้ความรู้เพิ่มในสิ่งที่เราเขียนได้ มันก็ Win-Win ทุกคนนะ

 

ถามว่าอะไรผลักดันมาตลอดหลายๆปี ถ้าจะมีสิ่งผลักดันได้ก็น่าจะเป็น การที่ใครสักคนเห็นประโยชน์ของงานเรา อาจจะเป็นข้อความขอบคุณง่ายๆ กำลังใจเล็กน้อยๆจากอีเมลล์ ทำงานแล้วได้เงินบ้าง ได้รู้จักได้อนาคตต่างๆบ้าง มันก็ไม่ทำให้เราหยุดเขียนได้หรอก คือมันเป็นไปไม่ได้หรอกว่าเราอยู่ด้วยการถึกควายโบ้ทำอะไรนานๆต่อกัน แต่ว่าถ้าในจุดที่เราท้อแล้วมีอะไรมาแบบดันขึ้นมา สิ่งนี้มันจะทำให้เราลุกขึ้นได้ง่ายขึ้น

Q : Mindset สำคัญ ที่คนเป็นต้นแบบ หรือกูรู จำเป็นต้องมี

 

(อันนี้คิดมานานมาก) สิ่งที่กูรูทุกคนต้องมีคือ ความซื่อสัตย์ ไม่ใช่ซื่อสัตย์ไม่คดโกงใครนะ ซื่อสัตย์ในที่นี้คือในเมื่อเราเป็นคนให้ความรู้คน สิ่งไหนที่คุณไม่รู้คุณก็บอกไม่รู้ ยอมรับไปเลย มันคือความจริง

 

เรามองว่าอันนี้มันจำเป็นมากนะ เพราะถ้าคุณไม่รู้แต่เสือกบอกว่ารู้ มันไม่ใช่กูรู คุณแม่งมั่วแล้ว สิ่งที่สำคัญสำหรับผู้รู้คือรับผิดชอบในสิ่งที่เราให้ไป สิ่งที่เราเขียน สิ่งที่เราพูด และต้องรับผิดชอบให้ได้

 

เพราะมันจะมีจุดหนึ่งคือพอกูรู้เยอะๆ มันจะมี Super E-go พลังงานบางอย่างขึ้นมาว่า เฮ้ยๆๆๆ กูต้องรู้ทุกเรื่อง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ยังไง มันก็มีบางคำถามที่พี่อาจตอบไม่ได้ พี่ก็ยอมรับว่าพี่ตอบไมได้ ดังนั้น Mindset สำคัญที่สุดของกูรู นั่นคือการที่คุณไม่ได้หลอกคนอื่น และคุณก็ไม่ได้หลอกตัวคุณเอง

Q : การเป็นกูรู เป็นคนให้ความรู้ แน่นอนว่ามีหลายคนให้ความสนใจในแนวคิด การใช้ชีวิต เรื่องพวกนี้ทำให้รู้สึกกดดันบ้างไหม

 

การที่มีคนมาสนใจเรามันก็ดี เพราะมันแปลว่า งานของเราก็ได้รับความสนใจมากขึ้น ไม่รู้สึกกดดันนะ ถ้าคุณคิดง่ายๆว่า ยังไงมันก็ดีกว่าไม่มีคนมาสนใจคุณ มันจะไม่กดดันอะไรหรอกใช่ปะ คือคนชมก็รู้สึกดี คนด่ารู้สึกแย่ แต่ถ้าวันหนึ่งไม่มีคนพูดถึงคุณเลยสักคำนี้แม่มแย่สุดนะ วิธีจัดการง่ายๆ คือ คุณก็เป็นสิ่งที่คุณอยากเป็นไปดิ ถ้าเค้าไม่ชอบคุณเค้าก็เลิกตามคุณเองแหละ ไม่ต้องคาดหวังอะไรหรอกของพวกนี้ สุดท้ายมันก็หายไป

Q : คิดว่า Mindset คน กับการใช้ชีวิตเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร

 

อันนี้ขอลอกคำพูดพี่หนุ่ม Money Coach มาเลยนะ เคยคุยกับแกแล้วชอบมาก คือ คนทุกคนอยากจะรวย แต่เค้ายังไม่รู้เลยว่าต้องมีเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่ารวย ทีนี้มีคนบางกลุ่มคิดว่าเห็นช่องว่างตรงนี้มาหากิน มันเลยกลายเป็นคนรวยเจอคนเหี้ย ก็เลยอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข และสุดท้ายคนดีก็ไม่มีแดกต่อไป เพราะมันก็ยึดมั่นในความรู้สึกดีๆ โลกมันก็เป็นอย่างนี้

 

ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หากเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็น่าจะล่มสลาย วนไปวนมาเรื่อยๆ เดี๋ยวก็มาใหม่ แบบนี้แหละ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ควรจะเป็น Mindset จริงๆก็คือ เชื่อตัวเองนิดนึงก่อนไหม? ใครพูดอะไรมารับหมดเลย ไม่กรองเลย ทำอันนี้ดีก็ทำ อันนู้นดีก็ทำ อันนั้นดีก็ทำ สรุปทำทุกอย่างแต่ชีวิตไม่เคยดีขึ้นเลย

Q : พรี่หนอมหนีภาษีครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

 

พี่มั่นใจว่าชีวิตพี่ไม่เคยหนีภาษีนะเว้ย คือถ้าคุณคิดว่าผมหนีภาษีคุณจับผมให้ได้ก่อนนะครับ แล้วค่อยมาพูด (หัวเราะ) เอาจริงๆ โคตรเกลียดคำพูดคำหนึ่งที่ว่า “ใครๆแม่งก็โกง” คือถ้ามึงเหี้ยก็อย่าเอาคนอื่นไปร่วมหัวจมท้ายกับตัวเองด้วยเลยครับ

Q : รูปแบบภาษีในความคิดพี่ที่เหมาะกับคนไทยเป็นแบบไหน

 

เราชอบเอาเรื่องคอรัปชั่นไปผูกกับการจ่ายภาษี มันแปลกมาก เพราะสิ่งที่เราต้องดูคือการคิดอัตราภาษีเหมาะสมกับคนที่จะจ่ายหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าดูเงินที่จะจ่ายไปถูกนำไปบริหารหรือเปล่า เพราะท้ายที่สุดใครมาบริหารเราไม่รู้ สมมติคนบริหารดีไม่โกงภาษีประเทศดี แต่ถ้าอัตราไม่เหมาะสมคนใหม่มามันก็จะโกงยิ่งกว่าเดิม มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโกงไม่โกงไง มันเกี่ยวกับโครงสร้างและระบบภาษี เช่น เก็บภาษีกับคนจนเหมาะสมไหม ? เก็บกับคนรวยเหมาะสมไหม ไปโฟกัสตรงนั้น ไม่ใช่เก็บเท่าไหร่ก็ได้ ขอให้ทำประโยชน์ให้ประเทศ

 

หรืออีกคำพูดคือ ไม่อยากจ่าย จ่ายไปก็โกง มันตลกมาก มันตบหน้าตัวคุณเองว่าคุณก็โกงกฏหมาย เหมือนคุณด่าตำรวจ แต่ตำรวจจะแจกใบสั่งคุณให้ตำรวจเลยร้อยนึง แล้วคุณก็ไปด่าตำรวจ

 

สิ่งสำคัญคือดูพื้นฐานระบบของการการเสียภาษีที่ถูกต้อง การจัดเก็บที่ถูกต้อง เหมาะสมไหม เพราะจริงๆแล้วเราก็รู้กันดีกว่าภาษีไม่มีใครชอบที่จะจ่าย ดังนั้นสิ่งที่ต้องใส่ใจคือที่จ่ายทุกวันนี้มันถูกต้องและเหมาะสมแล้วหรือยัง

Q : สุดท้ายอยากฝากอะไรที่ประทับใจกับทางบ้านบ้างครับ

 

ออกไปทำมาหากินกันเถอะครับ อย่ามัวแต่ฝัน ประสบการณ์จากการลงมือทำสำคัญกว่าเยอะครับ