014 : ถ้าคุณคิดจะสอนใคร…

 

 

โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่ค่อยมักจะกล้าเรียกตัวเองว่า “กูรู” “โค้ช” “อาจารย์” หรือแทนสรรพนามตัวเองด้วยคำพูดแนวๆนี้สักเท่าไร ซึ่งประเด็นนี้ก็บ่นไปหลายครั้งแล้ว และค่อนข้างแน่ใจว่า มันไม่ใช่การถ่อมตัวลงจัดๆเพื่อยกตัวเองให้สูงขึ้นแต่อย่างใด

สำหรับการเขียนบล็อกขึ้นมาในวันนี้ก็ไม่ได้จะบอกว่าผู้ที่เรียกตัวเองด้วยคำเหล่านี้เป็นคนที่ไม่ดี ไม่มีคุณสมบัติแล้วอวดอ้าง ฯลฯ เพราะตัวจริงในวงการก็มีมากมายที่ใช้คำเหล่านี้ และคำนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาต่อชีวิตพวกเขาเหล่านั้น

… สรุปแล้วผมตั้งใจจะเขียนอะไรกันแน่?

ผมแค่อยากบอกว่า ถ้าหากกล้าเรียกตัวเองว่า “ผู้สอน” หรือใช้การสอนทำมาหากินเลี้ยงชีพแล้วล่ะก็.. สิ่งที่ควรให้ความสนใจมากที่สุด คือ “คำวิจารณ์อย่างสร้างสรรค์ของคนฟัง” เพราะมันจะทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่ต้องปรับปรุงนั้นคืออะไร ?
บางครั้ง “ความรู้ที่ดี” อาจจะไม่ใช่ ความรู้ที่เอาไปบอกต่อ หรือเอาไปทำตามได้ทันที

…แต่ความรู้ที่ดีคือความรู้ที่ทำให้ผู้ที่ได้รับอยากจะกลับไปศึกษาต่อด้วยตัวเอง

มีหลายครั้งหลายคราวที่ผมเองถูก “กระแส” แห่งความรวดเร็วกดดันให้สร้างผลงานด้วยความ “พยายาม” เพื่อจะให้ทุกคนรู้จักและสนใจในสิ่งที่เราทำ แต่เอาเข้าจริงสิ่งนั้นมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ผมควรทำเลยแม้แต่น้อย และมันพลอยทำให้ตัวเองขาดความ “สม่ำเสมอ” ในการทำงานที่ถนัดไปเสียด้วยซ้ำ

 

13118200_1700780386856544_1160035990_n

 

เช่นเดียวกัน เรื่องที่เรียนรู้ได้ไว รวดเร็ว และเข้าใจได้ง่าย มักจะก่อให้เกิด “คนรู้” มากขึ้น แต่มันอาจจะไม่ใช่ทั้งหมดของเรื่องที่ต้องรู้ และส่งผลให้ “ผู้รู้” ทั้งหลายนำตัวเองไปสู่ความผิดพลาด

… ฝากไว้เท่านี้แหละครับ :)

-009 : ความสำเร็จที่ไม่มีจริง คล้ายกับคนที่ถูกทิ้งให้ตายอย่างเดียวดาย

 

“แกน่าจะลองเขียนเรื่องพวกนี้ออกมาบ้างนะ”

 

คำพูดนี้มีพลังอย่างประหลาด ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนน้ำแข็งราดลงกลางศีรษะ เมื่อมิตรสหายท่านหนึ่งตอบกลับมาหลังจากได้ยินเรื่องที่ผมพูดเกี่ยวกับ “ความสำเร็จ” ของผู้ชายที่ไม่ประสบความสำเร็จคนนั้น

 

เราทั้งคู่นั่งอยู่ในร้านเหล้า-ไม่สิ-เราควรเรียกมันว่าร้านขายอาหารที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มันเป็นร้านประจำของผมและเธอที่ต้องมาเจอะเจอกันอยู่เสมอ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าร้านเก่าแก่แบบนี้กำลังจะปิดตัวลงเนื่องจากพิษเศรษฐกิจ–ใช่! เศรษฐกิจที่ว่าดีสำหรับบางคน–และย่ำแย่เหลือเกินสำหรับคนอีกหลายคน

 

ก่อนที่ค่ำคืนนี้จะเลือนหายไป

ผมมีเรื่องหนึ่งอยากเล่าให้คุณฟัง…

คุณเคยพยายามจะประสบความสำเร็จบ้างหรือเปล่า เขียนเป้าหมายออกมาลงในกระดาษ พาดหัวอย่างหนักในวันเริ่มต้นของปีใหม่ ตามมาด้วยการทบทวนเป้าหมายอยู่เป็นนิจ แล้วคอยสะกิดบอกกับตัวเองว่า “ฉันทำได้” ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนกำลังสัมมนาอยู่ในฮอลล์ปลุกใจของธุรกิจเครือข่ายขนาดใหญ่ ก่อนที่จะพบว่าจริงๆแล้ว ความสำเร็จที่เรากำลังลุ่มหลงนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นและสำคัญกับชีวิตเสียเท่าไรนักหรอก

 

เขาถามคำถามยาวยืดนั้นกับผมเบาๆ มันก็เป็นอีกวันที่ผมนั่งอยู่ร้านเหล้าร้านเดิม-ไม่สิ-ร้านอาหารที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ แต่วันนั้นร้านยังคราคร่ำไปด้วยผู้คนล้นหลาม ต่างคนต่างจับจ่ายใช้สอยราวกับงานที่ทำคือการพิมพ์แบงก์ออกมาจากอากาศ-โดยไม่ทีท่ารู้ตัวเลยว่าชีวิตจะลำบากอย่างในวันนี้

 

“พี่ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรนี่ครับ ทำไมถึงกล้าพูดแบบนั้น” ผมถามเขากลับไปแบบเกรงๆ เมื่อดูรอยสักรูปอินทรีย์ที่หลังมือพร้อมกับกล้ามแขนที่มีเส้นรอบวงใหญ่กว่าแขนผมสัก 2 เท่าได้

 

“เฮ้อ… การมีชีวิต ได้หายใจปกติ อยากจะเดินไปไหนมาไหนได้ นี่แม่งก็เรียกว่าประสบความสำเร็จได้แล้วนะคุณ คุณหาข้าวกินได้เอง มีเงินใช้ในแต่ละวัน มีฟูกดีๆให้นอนไม่ปวดหลัง แล้วคุณยังจะเอาอะไรอีกหรอ เอางี้ คุณจะเอาอะไรดีล่ะ ร้อยล้าน พันล้าน จิตวิญญาณแห่งการเป็นมนุษย์ผู้แบ่งปัน หรือฝันที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมไทย?” เขากล่าวตอบพลางสัพยอกผมที่หน้าถอดสีเบาๆ อาจจะเป็นเพราะเขารู้ว่าผมกำลังเมาอยู่นิดๆ ถึงได้กล้าถามอะไรที่ผิดปกติอย่างนี้ออกไป

 

ผู้ชายคนนี้ -เขา- เคยเป็นรุ่นพี่ที่ผมเคารพมากๆ มีเพียบพร้อมทุกอย่างจนถึงขั้นเรียกได้ว่า “หนุ่มเพอร์เฟค” แต่หลังจากเหตุการณ์การเมืองครั้งนั้น เขากลายเป็นคนที่ตกงาน ไร้ญาติ ส่วนหนึ่งเกิดจากอุดมการณ์ที่เลือกข้างผิด อีกส่วนหนึ่งเกิดจากความคิดที่ไม่ยอมพ่ายแพ้ต่ออำนาจของเขาเอง

 

มาถึงวันนี้ความ “เพอร์เฟค” ของเขาเหมือนกับเงาสะท้อนความพิกลการของสังคมไทยที่ชอบพูดพล่ามถึงความดีไปพร้อมๆกับการหลบเลี่ยงภาษีโดยที่ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรแม้แต่น้อย

 

“เอาจริงๆนะคุณ ทุกวันนี้เราแม่งรู้สึกขาดเพราะถูกกระตุ้นด้วยการเปรียบเทียบ” เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นเก่ากึ้ก แต่มันยังใหม่พอที่จะพาเขาเข้าสู่โลกออนไลน์ด้วย “อวตาร” เพื่อเสพข่าวสารต่างๆที่เขาอยากรู้ความเป็นไปทุกอย่างของโลก ตั้งแต่ข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ การเมืองเลือกข้าง ไปจนถึงเด็กข้างบ้านสุดฮอต

 

“รู้มั้ย.. ผมชอบนั่งไล่แอดคนดังทั้งหลาย คุณรู้ไหมส่วนใหญ่คนพวกนี้เขารับแอดหมดนะ เพราะพวกเขาอยากมีเพื่อนเยอะๆ มีสังคมเยอะๆ จะได้เข้าหาผู้คนได้เยอะๆ คุณว่ามันแปลกไหมล่ะ? คนพวกนี้แม่มยิ่งดังแล้วกลับต้องการเพื่อนมากขึ้น แม้จะไม่ใช่เพื่อนจริงๆก็ตาม” เขาเปิดรูปอวตารหน้าจอสีดำล้วน พร้อมชื่อผู้ใช้งานชวนขบขันอย่าง “ผู้ชายอารมณ์ดี ยิ่งกว่านี้ก็บ้าแล้ว”

 

เขายื่นมือส่ง “โลกออนไลน์” ของเขาให้ผมดูไปพลางๆ พร้อมกับพูดต่อว่า “ลองดูนะ คุณจะเห็นคนที่ชอบโชว์ว่าตัวเองไปเที่ยวไหน คนที่โพสส่อเสียดก่นด่าสังคมเหมือนมีอะไรในใจ คนที่แชร์คำคมธรรมะ-คุณธรรม-เรื่องน่าอ่าน ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพราะพวกเขาอยากจะสร้างตัวตนของตัวเอง” เขาหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบต่อ ละเลียดรสชาติของมันสักพัก

 

“ยิ่งเขาประสบความสำเร็จมากแค่ไหน เขาก็ต้องพยายามที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้นไป ทำตัวรู้เรื่องเข้าใจโลกให้มากขึ้น พูดถึงเรื่องความเก่งกาจของตัวเองบ่อยขึ้น จนคนรอบข้างชื่นชมและอยากเป็นอย่างเขา แต่เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเขาต้องการอะไรจริงๆในชีวิต”

 

เขาหยุดยิ้ม “คุณเชื่อไหมล่ะ.. ถ้าเราเห็นคนพวกนี้ทุกวัน ติดตามเขาไปเรื่อยๆ วันหนึ่ง เราก็จะค่อยๆรู้สึกอยากจะมี อยากจะเป็นขึ้นมาซะงั้น ยิ่งถ้าหากไอ้นั่นเป็นเพื่อนพี่ รุ่นน้อง คนรู้จักของคุณล่ะ รับรอง คุณก็จะยิ่งกดดันตัวเองและถามคำถามซ้ำๆว่า ทำไมวะ กูแม่มไม่ดีไม่เป็นเหมือนเขา”

 

“ผมว่า ผมไม่เป็นนะ.. ครับ เอ่อ พี่อาจจะคิด. คิดมากไป” ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าคุยกับจอมเผด็จการผู้ยิ่งใหญ่ด้านความคิดอยู่หรือเปล่า แต่ดูท่าเขามั่นใจและเชื่อถือในความคิดของตัวเองมากๆ มากเสียใจไม่ฟังใคร – หรือเป็นผมเองวะที่ต่อต้านเขาอยู่ในใจ – ผมคิด

 

“ฮ่าๆๆ” เขาตบไหล่ผมเสียงดัง แล้วก็ยิ้มกลั้วหัวเราะให้เบาๆ “ให้มันได้แบบนี้สิวะ ! นั่นมันก็แปลได้สองอย่าง คือ คุณไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น หรือคุณไม่เห็นความสำคัญของคนๆนั้น มันก็แค่นี้เอง”

 

“คุณอยากเป็นแบบผมไหมล่ะ ?” เขาถามคำถามที่ทำให้ผมสั่นหัวแบบรัวๆ “ในสายตาของคุณ สิ่งที่ผมพูดแม่งก็ไม่ได้มีคุณค่าอะไรหรอก มันเป็นแค่คำตอบของคนที่.. ยังไงล่ะ เอ้อ ไม่สำเร็จ แล้วมาทำตัวเป็นเอกอุพหูสูตผู้รู้แบบนั้น ทำตัวน่าเชื่อถือไปวันๆ เรียกว่า กลวงอะไรแบบนั้นก็ได้มั้ง ฮ่าๆๆ ”

 

“แต่ถ้าผมบอกว่าผมเคยผ่านจุดนั้นมาก่อน จุดที่ไม่เคยฟังใคร คิดว่าจะตามหาสิ่งที่ใช่ ไล่ล่าเป้าหมาย แต่สุดท้ายวันที่ผมล้มลง ผมก็พบว่าจริงๆแล้วเป้าหมายที่ทุกคนควรทำได้คือการมีชีวิตที่อยู่รอดไปอีกหนึ่งวัน คนเราไม่ได้ต้องการความสำเร็จอะไรมากนักหรอก ไอ้ห่า” เขาพูดจบแล้วกระดกไวน์จนหมดแก้ว – ก่อนที่ลุกขึ้นเดินจากไป ผมปรายตาเห็นเขากำลังทักทายมาเฟียรุ่นใหญ่ในร้านอาหาร – คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง – ผมคิดตามประสาคนวิตกจริตบวกกับโรคแพนิคอ่อนๆ

 

…และนั่นเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้เห็นหน้าเขา

 

“แกกำลังคิดอะไรอยู่?”

 

ผมมองหน้า “เธอ” ก่อนจะสังเกตเห็นว่าควันบุหรี่จากปากของเธอดูคล้ายหมอกบางๆ และค่อยๆจางหายไปกับแสงไฟในร้าน พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

 

เราไม่รู้หรอกว่าที่เขาพูดในวันนั้น มันคืออะไร ? แต่พอมาถึงวันนี้ เราเริ่มกลับรู้สึกว่ามันใช่.. ไม่ใช่สิ มันกลายเป็นความจริงโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย ทุกวันนี้เราถามตัวเองซ้ำๆนะว่า แล้วเอาเข้าจริง มนุษย์อย่างเราต้องการอะไรกันแน่

 

เธอยิ้ม.. แล้วตอบคำถามผมว่า “เราไม่มีวันรู้หรอกว่า ความสำเร็จคืออะไร จนกว่าเธอจะเริ่มต้นจากความล้มเหลว” – เธอชอบพูดประโยคคมๆ ให้ผมต้องตีความอย่างที่ไม่รู้ความหมายอีกแล้ว นี่เป็นประโยคที่ 458 ที่ผมเคยได้ยินจากเธอ แต่ไม่เคยกล้าถามกลับไปสักทีว่าสิ่งที่เธอพูดหมายความว่าอะไร – บางทีเธอคงคิดว่าผมโง่ – แต่ก็ช่างมันเถอะ จะมีอะไรดีกว่าในวันนี้ที่มีเพื่อนคนหนึ่งนั่งอยู่เคียงข้างกัน

 

จะพี่คนไหน จะเพื่อนคนไหน จะคนรอบตัวสักกี่คน พวกเขาเหล่านั้นจะรู้สึกถึงความสุขเล็กๆที่ผมได้มีเพื่อนนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ ในวันที่กำลังตกงานและไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไปบ้างไหมนะ

 

อยู่ๆ ผมก็คิดถึงประโยคที่พี่คนนั้นพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“คนเรามันไม่ได้ต้องการความสำเร็จอะไรมากนักหรอก”