019 : เราไม่ได้มาจากโลกอนาคตหรอก เราแค่อยากบอกอะไรกับพวกนายในอดีต

.

สวัสดี … นี่เราเอง,

 

วันนี้เป็นวันที่ 23 พฤษภาคม 2559 เรากำลังบรรจงพิมพ์นิ้วบนคีย์บอร์ดถึงพวกนาย ใช่แล้ว – นายนั่นแหละ – คนที่อยู่ในโลกเมื่อ 2-3 ปีก่อนทั้งหลาย เราแค่มีอะไรอยากจะชวนพวกนายคุยกันสักเล็กน้อย หวังว่านายคงจะมีเวลาอ่านมันบ้างนะ เห็นนายบอกว่าตอนนี้ยุ่งๆกับการทำมาหากินน่ะ เราเลยไม่ค่อยกล้ารบกวนสักเท่าไร แหะๆ

3 ปีก่อน ช่วงที่ Facebook เป็นที่นิยมอย่างมาก (เราคิดแบบนั้นนะ ไม่รู้นายคิดเหมือนกันหรือเปล่า) เราว่ามันน่าจะเป็นช่วงที่อัตตาทั้งหลายของนายและเราถาโถมประโคมลงโลกออนไลน์คล้ายคลื่นกระหน่ำชายหาด จนหลายคนกลัวว่ามนุษย์จะกลายเป็นสังคมก้มหน้าจนลืมไปว่าโลกจริงเป็นอะไร แต่วันเวลาก็ทำให้เราและนายต่างรู้อยู่แก่ใจว่า จริงๆแล้วไม่ว่าจะโลกไหน มันก็คือโลกใบเดียวกันทั้งนั้นแหละเนอะ

นายยังจำได้ไหม… พวกเราต่อล้อต่อเถียงกันด้วยความเชื่อหลากหลาย เรื่องหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือเรื่องการเมืองที่เรามีทั้ง ฝ่ายคนดี คนชั่ว คนโกง คนเลว คนรัก คนเกลียด คนเผา คนเอาอำนาจ คนกลาง คนกลวง และคนห่วงประเทศ ความขัดแย้งทวีคูณรุนแรงเข้าและมีฝ่ายหนึ่งชนะด้วยอำนาจอะไรบางอย่าง (เราคงไม่กล้าพูดถึงในวันนีหรอกนะ ส่วนนายก็คงเงียบไปเพราะไม่รู้จะพูดถึงให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกแย่ไปทำไม)

วันเวลาเดินทางมาถึงวันนี้ เราก็พบว่าประเทศนี้เหมือนแพที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และหลายคนก็เลี่ยงที่จะไม่พูดถึงมันว่าตัวเองนั้นเคยทำอะไรระยำแค่ไหนกันไปบ้าง ได้แต่กล่าวอ้างกันไปกันมาว่าคนนั้นผิด คนนี้ผิด เฮ้อ แต่เราเองก็ดัดจริตที่มาบ่นว่าพวกเขาเหมือนกันแหละ

เรารู้ดีอยู่แก่ใจเลยล่ะ เพราะเมื่อก่อนเราก็คิดแบบนึง เรารังเกียจคนที่คิดตรงข้ามแตกต่างกับเรา เรารู้สึกว่าพวกเขาแม่มทำให้เราเสียจริต จะว่ายังไงดีล่ะ เหมือนเราก็คิดว่าเรารู้เราเข้าใจทุกอย่างนะ แต่เอาเข้าจริงเราก็พบว่าเราแม่มกระจอกว่า เราไม่เข้าใจอะไรเลย และวันนี้เราก็ไม่พยายามจะเข้าใจคนที่แตกต่างหรือตรงข้ามกับเรา เราแค่ยืนดูมองเขาและรับรู้ว่ามันมีเงาของความแตกต่างอยู่ในนั้นก็พอแล้วมั้ง (ในแง่หนึ่ง คนที่เราเคยคิดเหมือนเขา ก็อาจจะมาองเราเป็นคนกลวงได้เหมือนกันน่ะ นายพอเข้าใจเราใช่ป่าว)

 

13256121_10153630596973450_5863453003592007676_n

 

มาที่เรื่องงานเรื่องความสำเร็จ เอ้อ ไอ้เรื่องความฝันของนายน่ะแหละ เมื่อก่อนเราเห็นมันเยอะแยะมากมายเลยนะ จนเราตกใจเลยว่า เฮ้ย นายเป็นคนเก่งจริงๆ เราเห็นภาพในโลกออนไลน์ที่พวกนายประสบความสำเร็จกันยิ่งใหญ่ พวกนายสร้างอะไรนะ แฟนเพจที่มีคนติดตามมากมาย (แต่เอาเข้าจริงทุกวันนี้เราก็มีคนมาชวนให้เรากดไลค์เพจเขาเยอะๆ เราเข้าใจว่ามันเหมือนเป็นความมั่นคงทางจิตใจรูปแบบหนึ่งล่ะมั้ง เราก็กดบ้างไม่กดบ้างอ่ะ อย่าว่าเราหยิ่งเลยนะ ทุกวันนี้หัวเราก็จะระเบิดกับสิ่งที่เราต้องรู้มากมายเต็มไปหมดแล้วล่ะ)

แต่นายเชื่อไหมว่า หลังจากคนเก่งเหล่านั้นประกาศศักดา มานึกอีกทีวันเวลาผ่านไปแป๊บเดียว เราเห็นหลายคนก้าวหน้าไปอยู่สูงกว่าเราอย่างน่าชื่นชม หลายคนกระโดดข้ามกำแพงอุปสรรคไปได้มากจนเรารู้สึกเลยว่า โลกนี้มันหมุนเวียนเปลี่ยนไปจนคนอย่างเราตามไม่ใคร่จะทัน (นายคงคิดว่าเราแก่แล้วสินะ แต่ไม่เป็นไรเราก็แก่จริงๆนั่นแหละ)

ในขณะเดียวกัน เราก็เห็นคนหลายคนยังวิ่งไล่ความฝันอยู่เหมือนงูกินหาง ทำๆเลิกๆ เหนื่อยก็พัก หนักก็พอ บางคนพูดถึงความสำเร็จไปปีนึงแล้วไม่มีคนฟัง เขาก็เปลี่ยนเป็นพูดเรื่องความรวยบ้าง ทำธุรกิจบ้าง ออกกำลังกายบ้าง แล้วก็วนๆเรื่องการไปเที่ยวต่างประเทศ หรือ พูดเรื่องต่างๆตามวาระและโอกาสที่จะเอื้ออำนวย บางคนมีคำอวยพร คำคมคับคั่ง ลงโทษสังคมด้วยความดีอย่างที่เราชอบทำกันเหมือนเดิมเป๊ะ

บางทีเรารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่า นอกจาก Status ของพวกเขาเหล่านั้น เรายังมองไม่เห็นผลงานของพวกเขาที่เป็นชิ้นเป็นอัน หรือแม้แต่หนักว่านั้น เราก็เห็นพวกเขากำลังพยายามอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าพยายามในเรื่องอะไรอีกต่างหาก

เอ้อ ที่เราเขียนมา เราไม่ได้จะดูถูกพวกเขานะ เราบอกแล้วว่าเราเลิกคิดแบบนั้น เราแค่อยากส่งข้อความบอกให้นายรู้ตัวเองเพื่อเตือนใจ ก่อนที่นายจะหลงมัวเมาอยู่ในเงาไฟของความอิจฉา วนเวียนอยู่กับการเอาชนะคะคานคนที่คอยระรานนาย เราเห็นแล้วเราก็สงสัยว่าทำไมมนุษย์เราใส่ใจกับสายตาของคนที่มองเรา มากกว่าผลงานที่เราจะทำให้เขามองเห็น

สำหรับเราแล้ว 3 ปีนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยาวนานจริงๆ เราผิดหวังกับหลายเรื่อง เราท้อแท้กับหลายสิ่ง และก็มีติ่งเล็กๆของความยินดีมากมายเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน เรายิ้ม – หัวเราะ – ร้องไห้ นับร้อยนับพันครั้ง เรานั่งเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงจนเห็นสัจธรรมสอนตัวเองมากมาย แต่สุดท้ายเราก็ได้แต่ยอมรับและยิ้มให้กับการจากลา เพราะมันคือเครื่องหมายของการมีชีวิตอยู่ต่อไป

เราดีใจที่นายยังไม่ได้เจอเหมือนกับเรา แต่อย่างน้อยเราก็หวังว่าเราควรจะเตือนอะไรนายไว้บ้างนั่นแหละ เพื่อที่นายจะได้ไม่เสียเวลาเหมือนกับเรา และมุ่งสู่เป้าหมายที่นายหวังไว้ได้จริงๆ

 

ขอบคุณที่นายอ่านจดหมายฉบับนี้จนจบ
และขอโทษที่เราเขียนเยิ่นเย้อไม่สุภาพ

 

 

-003 : บอกว่ารักในสิ่งทีทำ แต่สุดท้ายก็ทำเพราะสิ่งที่รัก

 

ถ้าให้เลือกระหว่าง

ได้อยู่กับคนที่เรารักแล้วมีความสุข

กับ

ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักแล้วมีความสุข

เราจะเลือกอะไร เพราะอะไรหรอ

Status ตั้งคำถามของมิตรสหายท่านหนึ่ง

ทำเอาผมถึงกับสับสนในคำตอบของตัวเอง

 

เราเห็นหนังสือ How-To มากมายสอนให้เราเลือกทำในสิ่งที่เรารัก กล้าที่จะออกนอกกรอบของสังคม กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่ใครไม่รู้กำหนดไว้ ทลายกรอบกำแพงที่อยู่ลึกในใจของคุณออกมาสิ ออกมาจากความรุ้สึกเหล่านั้น เพื่อที่จะก้าวเดินทางสู่ความสำเร็จ

 

“ทำในสิ่งที่รักและมีประโยชน์ต่อผู้อื่น” ประโยคง่ายๆ ที่บอกให้คนที่มีความฝันเริ่มต้นจากสิ่งที่เราชอบ แต่ถ้ามันจะกลายเป็น “อาชีพ” ได้นั้น เราเองก็ต้องมั่นใจว่าคุณค่าของมันมากเพียงพอที่จะให้คนอื่นมองเห็น และยินดีที่จะรับรู้ว่ามันสำคัญต่อชีวิตของเขา สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็จะ Win-Win ชนะไปด้วยกัน

 

“ฟังเสียงหัวใจตัวเอง เข้าใจให้ชัดว่าเราต้องการอะไร” อีกหนึ่งคำปลอบใจที่มากระตุ้นกำลังใจ ในวันที่ถูกก่นด่าดูถูกหรือหยามน้ำหน้าว่าเรานั้นเป็นได้แค่คนที่ไม่มีคุณค่า เสียเวลาทำในสิ่งทีไม่มีใครสนใจ คำพูดนี้แหละที่ช่วยให้เราเดินต่อไปข้างหน้าพร้อมกับคำว่า “อดทน” กับการใช้ชีวิตที่เลือกด้วยตัวเอง

 

น่าแปลกเหมือนกันที่เราถูกสร้างให้เข้าใจแบบนั้น เลือกแบบโน้น และบอกตัวเองว่าต้องการแบบนี้ แต่แล้วสิ่งที่เราเอามาพิจารณาในการเลือกจริงๆ ก็คือ “ความสุขของคนที่เราแคร์” และบางครั้งมันมากเสียกว่า “ความต้องการของเรา” ที่เราคิดว่ามันแน่นอนไปตั้งแต่เราเลือกที่จะทำสิ่งนั้น

 

“ถ้าหากทำสิ่งที่เรารัก แล้วคนที่เรารักไม่มีความสุข เราจะยังทำมันอยู่หรือเปล่า ?” คำถามของมิตรสหายท่านนั้นเหมือนทำให้เรารู้สึกถึงประโยคนี้ และมันน่าแปลกที่ใครหลายคนเลือกเหมือนกัน คือ การเลือกที่จะแคร์คนที่เรารัก ได้เห็นพวกเขามีความสุข มากกว่าที่จะก้าวไปทำตามสิ่งที่พวกเขามีความสุข โดยที่รู้ว่าคนที่เขารักจะมีความทุกข์ตามมา”

 

แน่ล่ะ บางทีเราอาจจะบอกว่า “ถ้าได้ทั้งสองแบบก็คงจะดี นั่นคือคนที่รักเราเข้าใจและปล่อยให้เราทำในสิ่งที่เรารัก หรือมาช่วยกันทำสิ่งที่เราทั้งคู่รักไปพร้อมๆกัน”

 

มาถึงตรงนี้ ไม่ว่าใครจะเลือกแบบไหน อย่างไร เราก็ไม่มีสิทธิไปตัดสินหรอกว่า เขาผิด เขาไม่ใช่ เขาเป็นคนที่ไม่เข้าใจโลก แต่สิ่งที่เราควรจะตั้งคำถามกับตัวเองก็คือ “เราซื่อสัตย์กับความต้องการของตัวเองมากแค่ไหน” หรือไม่ก็ยอมรับไปง่ายๆก็ได้มั้งว่า “สิ่งที่เรารักนั้นมันไม่มีจริงเท่ากับความรู้สึกที่เรามีให้กับคนที่เรารัก”

 

หรือจะมองให้ซับซ้อนกว่านั้น ก็คงต้องลงลึกต่อไปว่า “เอ๊ะ แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าการที่เราเลือกอยู่กับคนที่เรารักนั้น เราจะยังรักเค้าตลอดไป (รวมถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อเราด้วยเช่นกัน) และถ้าวันหนึ่ง “ความรู้สึก” มันเปลี่ยนแปรผันไปเป็นอย่างอื่น เราจะไม่ยิ่งกล่าวโทษเขาหรือว่า เพราะเขานั่นแหละที่ทำให้เราไม่สามารถเดินตามความฝัน ทำในสิ่งที่รักได้ และจุดจบสุดท้ายมันก็คงไม่สวยงามสักเท่าไรนัก”

ผมเขียนตอบ Status เขาไปว่า “ถ้าต้องเลือก ขอเลือกอย่างหลัง เพราะเราไม่ได้เอาความสุขของเราไปฝากที่คนอื่นคนับ” ซึ่งมันอาจจะเป็นคำตอบที่กวนส้นตีนและสวนกระแสกับสิ่งที่ดีและแง่งามในการใช้ชีวิตร่วมกันระหว่างความรักและความสุข

 

เพียงแต่ผมอยากแน่ใจว่า สิ่งที่ผมเลือกนั้นจะไม่ทำให้ชีวิตผมเป็นทุกข์ และผมจะได้รู้สึกสุขใจพอที่จะไม่กล่าวโทษว่าการเลือกของผมนั้นมันเป็นความผิดของใคร

 

… ยกเว้นตัวผม แต่เพียงผู้เดียว

 

 

-007 : ประสบการณ์ในเดือนที่แย่ที่สุดของชีวิต

 

สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจไว้.. หลังจากทำบล็อก “พรี่หนอม” ขึ้นมาใหม่แทน “บล็อกควายๆของนายหนอม” คือ การเริ่มต้นเขียนเนื้อหาใหม่ในมุมมองที่เปลี่ยนไปตามวัยที่มากขึ้น (แก่) และวางแผนกับตัวเองเอาไว้คร่าวๆว่าจะเขียนบล็อกให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งเรื่อง ซึ่งก็เป็นไปตามแผนแต่โดยดีหากนับจากเดือนมีนาคม 2559 เป็นต้นมา และก็หักเหมาจนล้มไม่เป็นท่าในเดือนมิถุนายน 2559

 

โดยปกติแล้ว ผมมีงานที่ต้องเขียนในแต่ละเดือนประมาณ 15-20 เรื่อง ตั้งแต่งานเขียนลงบล็อก บทความ หรือนิตยสารต่างๆ (มีทั้งเขียนฟรีและได้เงินค่าเขียนเล็กๆน้อยๆ) แต่ไม่รวมงานเขียน Advertorial และงาน Ghost Writer อื่นๆที่รับจ้างตามความต้องการของตลาดในขณะนั้น

 

นอกจากงานเขียนแล้ว ผมก็เริ่มที่จะเพิ่มเติมคลิปวีดีโอลงยูทูปอาทิตย์ละ 1-2 เรื่อง และถ้าหากที่ต้องเขียนลงพรี่หนอมด้วยก็คงจะได้ประมาณ 30 เรื่องต่อเดือนพอดี คิดเป็นเฉลี่ยวันละเรื่อง (ไม่รวมงานเขียนหนังสือ และทำความพร่ำเพร้อลง Facebook ส่วนตัว) และเนื่องจากงานเขียนนี้ถือเป็นรายได้เพียงส่วนหนึ่งจากงานที่ผมทำ มันย่อมแปลว่าผมต้องพยายามบริหารจัดการเวลาในการเขียนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด นั่นก็คือ เขียนให้เร็วขึ้น และ เขียนให้ดีขึ้น (แต่คิดว่าสิ่งที่เคี่ยวกรำให้งานเสร็จจริงๆนั้น คงเป็นพลังของเดตไลน์ที่ควบกระชั้นเข้ามากกว่า)

 

ในเดือนมิถุนายน 2559 มีเหตุการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้นในแบบที่ไม่คาดคิด ไปจนถึงสิ่งที่วางแผนไว้หลายๆอย่างผิดพลาด ทำให้ผมเกิดอาการติดสตั้นท์ขึ้นมาจนต้องทิ้งงานหลายๆอย่างไป และหนึ่งในนั้นคืองานเขียนบล็อกเรื่องราวส่วนตัวลงที่แห่งนี้ แบบชนิดที่เรียกได้ว่าไม่มีอารมณ์เขียนไปดื้อๆ (ขอโทษสำหรับใครหลายคนที่ถามถึงนะครับ.. แต่เอาจริงๆก็มีอยู่ 2-3 คนแค่นั้นเอง TwT)

 

วันนี้ได้ฤกษ์เขียนออกมาเสียที และสิ่งที่ผมอยากเขียนในวันนี้ มันคงเป็นแค่การบันทึกไดอารี่ของความรู้สึกในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อาจจะไม่ใช่แนวความคิด ปรัชญา บทความเสียดสีจิกกัดสังคม เหมือนที่เขียนตามปกติ แต่ผมถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมได้เรียนรู้และเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น และถ้าหากใครสักคนที่ได้เข้ามาอ่านมันเห็นว่ามีประโยชน์ ผมคงรู้สึกยินดีมากๆ ที่ประสบการณ์ชีวิตผมนั้นกลายเป็นกระจกสะท้อนอะไรบางอย่างให้กับใครคนนั้น (ที่หลงเข้ามา – -“)

 

เอาล่ะ.. ถึงเวลาเลิกเขียนอะไรหล่อๆ พร่ำเพร้อพรรณาแล้วล่ะฮะ มาลองดูละกันว่าในเดือนที่ผ่านมาผมมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกแบบไหนบ้าง

 

งานหนักกลายเป็นการบำบัดความรู้สึก

 

เรามักจะได้ยินกันคำกล่าวว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าคน” ถึงแม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้สักเท่าไร แต่ในช่วงที่ผ่านมาสิ่งที่เพิ่มขึ้นจากคำว่า “งานหนัก” นั้น ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นการบำบัดความเครียดได้เป็นอย่างดี เพราะมันทำให้เราต้องจดจ้องอยู่กับสิ่งอยู่ตรงหน้า มากกว่าปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านไปกับความเครียดที่เกิดขึ้นมา แน่ล่ะว่ามันไม่ได้ทำให้เราลืมสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันก็ยังดีกว่าการนั่งฟูมฟาย ระบาย หรือออกไปทำร้ายตัวเองให้แย่ลง ดังนั้นถ้าหากคุณมีปัญหาชีวิต ลองเลือกใช้งานหนักๆ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจสักช่วงหนึ่งก็ไม่เลวเหมือนกันครับ

 

ปัญหาเรื่องเงิน มันเกิดจากคน

ถ้าผมจำไม่ผิดคำพูดนี้น่าจะมาจากโค้ชหนุ่ม (Money Coach) ซึ่งเมื่อผมได้พบกับปัญหาเรื่องเงินที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวกลับยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกเลยว่า “มันเป็นความจริง” เพราะไม่ว่าจะมีเงินมากมายเท่าไร ไม่ว่าจะพยายามใช้เงินแก้ปัญหาแค่ไหน แต่สุดท้ายเราปฎิเสธไม่ได้หรอกว่า ปัญหาล้วนมาจากคน มากกว่า “เงิน”

 

ปัญหาที่ว่า คือ การใช้จ่ายของคนใกล้ตัวแบบไม่คิดหน้าคิดหลังในบางเรื่อง ซึ่งทำให้ผมรู้สึก “เสียดาย” แต่สิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ คือ “ความรู้สึก” ที่เสียไป และ “การกระทำ” ที่ไม่คาดคิดมากกว่า

 

เราปฎิเสธไม่ได้หรอกว่า ในโลกปัจจุบันนี้ เงินเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ วิธีการที่เราปฎิบัติต่อเงินในทุกๆวัน ที่ทำให้เราต้องหันมาตั้งคำถามว่า การหาเงิน การใช้จ่ายเงินของเรา มันกำลังทำร้ายคนรอบตัวเราอยู่หรือเปล่า?

 

เราด่าทอ “คนที่แตกต่างจากเรา”

เพียงเพราะเขาอาจจะเป็นคนที่เราเกลียด

 

ขอยอมรับตรงๆว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะชอบ “กูรู” ที่จัดงานสัมมนาแบบหลอกลวงสักเท่าไร โดยเฉพาะเรื่องของความสำเร็จแบบฉับไว ร่ำรวยทันใจ เพราะผมไม่ค่อยเชื่อในการทำอะไรแบบ “สั้นๆง่ายๆ” เพื่อให้ประสบความสำเร็จ “เร็วๆ” อย่างที่ต้องการ แต่ในอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ผมเตือนตัวเองในฐานะ “คนทำงาน” คือ วันหนึ่งเราอาจจะกลายเป็นอย่างเขาโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ เพราะไม่ว่าเขาจะขายความสำเร็จในรูปแบบไหนก็ตาม หรือเราจะก่นด่าเขารุนแรงแค่ไหน หากโชคดี เราก็ทำได้แค่เตือนสติใครสักคนที่อ่านเจอ แต่ถ้าหากโชคร้าย เราก็กลายเป็นคนสร้างศัตรูไปง่ายๆซะงั้น และถ้าวันนึงเราพลาดพลั้งเผลอไปทำบ้าง เราจะกล่าวอ้างกับตัวเองอย่างไร #เปิดการ์ดโลกสวย

 

ในช่วงนึงของชีวิตที่ผ่านมา ผมมักจะเขียนบทความประชดประชันแดกดันลงในเฟสบุ๊กส่วนตัวบ้าง หรือหลุดพูดจาไปบ้าง ซึ่งที่พูดมาก็ไม่ได้ต้องการจะขอโทษอะไรหรอกครับ เพราะทุกวันนี้ผมก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่เหมือนเดิมแหละ (อ้าว)

 

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในตอนนี้ มันคือทัศนคติในการทำงานของตัวเอง ยิ่งเราด่าเขา เรายิ่งต้องชัดเจนในการทำงาน ซึ่งผมก็พยายามเลือกทางที่จะ “หากิน” กับคนที่มีเงินจ่าย มากกว่าการ “หากิน” กับความฝันที่มีราคาของคน โดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างพอใจในการเขียนบทความ Advertorial ที่มีคนจ่ายเป็นแบรนด์ต่างๆ และการเป็นวิทยากรรับงานบรรยายมากกว่าจัดสัมมนาเอง ซึ่งทางที่ผมเลือกเดินแบบนี้บางครั้งมันก็เหนื่อย แต่ผมคิดว่าชีวิตเฉื่อยๆของผมคงไม่ได้ต้องรีบร้อนอะไรมากนัก

 

สิ่งที่น่าตลกในยุคที่กูรูกำลังเบ่งบานแบบนี้ ผมมองเห็นการเปลี่ยนผ่านจากคนที่เคยด่าผม กลายเป็นคนที่ด่าสิ่งที่ผมเคยด่า และมันก็ตลกตรงที่ว่าสุดท้ายแล้วเราก็ด่ากันไปกันมาอย่างสนุกปาก เพื่อความสะใจ แต่ไม่ได้เปลี่ยนให้อะไรมันดีขึ้นมา

 

หลังๆ ผมพยายามหยุดด่าคนที่ผมไม่ชอบในสิ่งที่เขาทำ (แน่ละ ยังคงมีด่าบ่นและกวนตีนอยู่บ้าง ตามประสาสันดานที่เลิกไม่ได้) แต่สิ่งที่ผมทำได้คือ แบ่งเวลามาทำผลงานที่เป็นทางเลือกให้กับพวกเขา เพื่อที่อย่างน้อยจะมีคนเห็นสิ่งที่เราให้โดยที่ไม่ต้องจ่ายด้วยมูลค่าหรือราคาที่แพง

 

ยิ่งเราโตขึ้น ปัญหาของเรายิ่งใหญ่ขึ้น

 

บททดสอบของชีวิตคนนั้น เริ่มตั้งแต่เป็นเด็ก เราทุกคนคงเจอปัญหาตั้งแต่ไม่สามารถใส่ถุงเท้าเองได้ ไปจนถึงกลายเป็นคนที่เธอทิ้ง และสุดท้ายสิ่งเหล่านั้นมันจะบอกว่า “มึงยังต้องเจออะไรอีกมากมาย”

 

ชีวิตบางคนดูคล้ายกับละคร ในขณะที่บางคนดูคล้ายว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง แต่นั่นแหละ ยิ่งเราเติบโตมากขึ้นเท่าไร ปัญหาในชีวิตมันก็จะมากและหนักขึ้นเท่านั้น สิ่งที่เราทำได้มีอยู่ 3 อย่าง คือสู้กับมัน ยอมรับมัน และปล่อยมันไป

 

ผมเชื่อว่า สิ่งที่ตามมาหลังจากเกิดปัญหา คือ หัวใจที่แข็งแกร่ง และประสบการณ์ที่แข็งขัน ที่จะช่วยให้เราฟันฝ่าชีวิตที่หนักขึ้นมาได้อีกเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต

 

ความเข้มแข็งของคนเราแตกต่างกัน

 

ต่อจากเรื่องของปัญหาที่ใหญ่ขึ้น … หลายครั้งหลายคราวที่ได้ยินคำบ่นที่สรุปใจความได้ว่า “ปัญหาของเราหนักกว่าคนอื่น” ผ่านทางคำพูด การกระทำ ข้อความ บทสนทนา ซึ่งมันก็เป็นความจริงที่ว่า “มนุษย์เราสนใจเรื่องของตัวเองมากกว่าคนอื่น” (แน่ละ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นแบบนั้น)

 

ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนอยู่กันและเรียนรู้ด้วยการแลกเปลี่ยน “ความรู้สึก” แก่กันและกัน ซึ่งมันแปลว่า สิ่งที่เราทำให้ใครคนหนึ่งที่เขามีปัญหาได้ คือ “รับฟัง” และ “เสนอแนะ” แต่ผู้ที่มีปัญหาคงต้องเลือกที่จะ “ฟัง” และ “ยอมรับ” ในสิ่งที่แตกต่างกับความคาดหวังของตัวเองด้วย

 

เมื่อเรามีปัญหา หลายครั้งเราคิดว่าคนที่เราให้ความสำคัญจะต้องมาช่วยแก้ไข แต่เอาแค่เข้าใจทฤษฏีที่ว่า “มนุษย์เราสนใจเรื่องของตัวเองมากกว่าคนอื่น” ก็คงเป็นสิ่งที่อยู่ในการพิจารณาลำดับแรกๆ ที่ต้องคิดอยู่ดีว่า “เราต้องแก้ปัญหาชีวิตเราด้วยตัวเอง”

 

เช่นเดียวกันกับผู้ที่หลุดพ้นปัญหานั้น มักจะมองเสมอว่า “ชีวิตกูยังหนักกว่ามึงเลย มึงจะอะไรนักหนากับเรื่องที่เกิดขึ้น” ในแง่มุมหนึ่งมันก็คงถูกต้อง แต่ “ความเข้มแข็งของมนุษย์” ที่แตกต่างกันนี่แหละ ทำให้มนุษย์แต่ละคนแบกรับมันไว้ได้ไม่เหมือนกัน และเราไม่มีสิทธิตีโพยตีพายบ่นออกมาหรอกว่า “ปัญหาของฉันนั้นหนักที่สุด” เพราะมันจะยิ่งตอกย้ำคำว่า “มนุษย์นั้นสนใจแต่เรื่องของตัวเอง” และมันน่าตลกตรงที่ว่ายิ่งเราคิดถึงปัญหาของเรามากแค่ไหน คนจะยิ่งไม่สนใจเรามากขึ้นเท่านั้น อาจจะเพราะเขาคิดว่า “แล้วมึงรู้ได้ไงล่ะว่าปัญหากูไม่หนัก?” กับ “กูก็เจอปัญหาไม่ต่างจากมึงหรอก แต่กูแค่ไม่แสดงออกเท่านั้น”

 

ถ้าหากวันนี้ชีวิตของเรามีปัญหา สิ่งที่เราควรทำ คือ แก้ไขด้วยตัวเองก่อน-อย่าคาดหวังให้ใครมาช่วย-อย่าเปรียบเทียบปัญหาของตัวเองกับคนอื่น และสุดท้ายคือ ปล่อยให้เวลามันจัดการปัญหาไปด้วยการทำใจยอมรับมะน

 

แต่ถ้าหากไม่ไหว ลองหาใครสักคนที่พอจะ “ฟัง” สิ่งที่เราอยาก “พูด” แล้วระบายมันออกมา โดยไม่ต้องแนะนำทางแก้ไขใดๆ แค่นั้นก็อาจจะพอแล้วที่ทำให้เรากลับมามีสติอีกครั้งหนึ่ง

 

กำลังใจเล็กๆน้อย คือ พลังที่ยิ่งใหญ่

 

โดยส่วนตัวผมไม่ใช่คนที่คิดบวกสักเท่าไร และก็ไม่ได้มองโลกตามความเป็นจริงเสียด้วย แต่ในช่วงที่แย่ที่สุดของชีวิต เราทุกคนล้วนต้องการกำลังใจเล็กๆน้อยๆที่ส่งผลให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ การตบบ่าให้กำลังใจเบาๆ แล้วกระซิบบอกว่า “สู้ๆ” ทั้งที่รู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้ มันอาจจะเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ใครหลายคนอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหลายวัน

 

ในช่วงที่เกิดปัญหาหนัก ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีที่สามารถเอาเรื่องเหล่านี้มาปลอบประโลมจิตใจได้ในระดับหนึ่ง ขอให้พื้นที่ตรงนี้ขอบคุณหลายๆคนที่ส่งต่อสิ่งเหล่านั้นมาให้ในวันที่แย่ๆของชีวิต (ทั้งที่พวกเขารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม) ตั้งแต่คำขอบคุณเล็กๆน้อยๆไปจนถึงคำปรึกษาราคาแพง ขอบคุณจริงๆครับ

 

การจากลาเป็นธรรมดาของมนุษย์

 

เกิดขึ้น – ตั้งอยู่ – ดับไป การจากลาเป็นธรรมดาของชีวิต ช่วงนี้เป็นอีกช่วงหนึ่งที่เพื่อนๆพี่ๆที่ทำงานได้เดินทางก้าวหน้าตามชีวิตและอาชีพ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี และแอบเศร้ากับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเหมือนเช่นเคย

 

ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นช่วงเดียวกันที่ใครบางคนเลือกที่จะทิ้งมิตรภาพดีๆ ที่มีกับผมไปเช่นเดียวกัน ซึ่งผมก็ทำได้แค่ “ยิ้มรับ” และหวังว่าเวลาคงจะช่วยเยียวยาทุกอย่างให้ชีวิตของเขาดีขึ้น

 

สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมเขียนขึ้นมานี้ มันก็เป็นเหมือนกับประสบการณ์ที่ผ่านมา ความเศร้า ความเหนื่อย ความท้อแท้ และความพยายามที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนนี้ เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์หนักหนาที่ผมไม่เคยเจอมาตลอดทั้งชีวิต และวันนี้ผมบันทึกไว้เพื่อบอกกับตัวเองว่า

 

เรากำลังเดินทางไปสู่ปัญหา

ปัญหาที่มีความหนักหนาขึ้น

ปัญหาที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

ปัญหาที่ทำให้ขีวิตยากขึ้น

 

แต่เชื่อเถอะว่า

เราจะผ่านมันไปได้อีกครั้ง

เหมือนกับที่มันเกิดขึ้นในวันนี้ :)

 

 

-014 : คำถามที่วนลูป เพราะเราลืมนึกถึงเวลาที่จุดธูป 1 ดอก

 

“ไหนๆ ชื่ออะไรค้าบบ แนะนำตัวหน่อย”

“…. ค้าบ”

 

“เรียนอยู่ชั้นไหนแล้วค้าบบบ ได้เกรด เท่าไรค้าบบบ”

“…. ค้าบ”

“โตขึ้นอยากเป็นอะไรคะ ใครอยากเป็น …ยกมือขึ้น”

“ผมค้าบ”

 

“อยากสอบเข้าโรงเรียนอะไรค้าบ คุณพ่อคุณแม่ว่าไง”

“….ค้าบ”

“เฮ้ยยย มึงจะเอ็นทรานซ์เข้าอะไรวะ”

“…. ว่ะ”

 

“เรียนจะจบแล้ว… มึงได้งานหรือยัง”

“….. ”

“เมื่อไรจะมีแฟนล่ะลูก”

“…..”

 

“ข้างบ้านเค้าแต่งงานกันแล้วนะ”

“…..”

 

เฮ้ยมึงจะทำตัวโสดไปจนตายหรือไงวะ

“…..”

“คบกันมานานเท่าไรแล้ว เขาเป็นใครมาจากไหน”

“…..”

 

“วางแผนอนาคตกันไว้ยังไงบ้าง… จะยังไงต่อ”

“…..”

“เมื่อไรจะแต่งกันสักที คบกันนานแล้วนะ”

“…..”

 

“จะรอให้ท้องก่อนหรือไง แฟนมึงเค้ารอจนเงกแล้ว”

“…..”

แต่งงานมานานแล้ว ทำไมยังไม่มีลูกซักที

“…..”

 

โหยยย มีลูกเยอะขนาดนี้ จะเลี้ยงไหวหรือเปล่า

“…..”

“วางแผนชีวิตไว้บ้าง เงินน่ะมีไหม?”

“……”

 

“อย่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยนัก อนาคตไม่มีเงินจะทำไง”

“…..”

เราตั้งคำถาม คำถาม คำถาม คำถาม และ คำถาม เพื่อที่เราอยากได้รับนิยามชีวิตจากคนอื่น หรือว่าเราต้องการเปรียบเทียบ เป็นห่วง สนใจ ใยดี มีเวลาใส่ใจ หรือ รู้ไว้ใช้นินทา ไปจนถึงทำให้เรารู้ว่าเราเหนือและต้อยต่ำกว่าเขา

 

เราตอบคำถาม คำถาม คำถาม และคำถาม เพื่อที่เราจะให้เขาหยุดถาม เพื่อให้เขารับรู้ถึงแนวทางแก้ไข เพื่ออวดอ้างว่าเรามีอะไรดี หรือยอมรับว่าเราไม่มีอะไร หรือ กลัวใครรู้แล้วจะนินทา ปกปิดความอหังการ์ไว้ลับๆ เพื่อไม่ให้เขารู้ว่าเราเหนือกว่าและต้อยต่ำกว่าอย่างไร

เราถามและตอบกันจนลืมถามว่า

มันจะมีประโยชน์อะไรที่ใช้มาตรวัดที่เรามีไปตัดสินคนอื่น

 

เราถามและตอบกันจนลืมถามว่า

ไอ้ความสุขที่เรามีมันเกิดจากความเปรียบเทียบหรือจากจิตใจ

เราถามและตอบกันจนลืมถามว่า

เราเสียเวลากับเรื่องคนอื่นมากเกินไปหรือเปล่า

 

และเราถามและตอบกันจนลืมถามว่า

สุดท้ายแล้วชีวิตเรามีค่าอะไรกันแน่ ?