021 : เรากำลังวิ่งแข่งกับใครอยู่ ?

.

ถ้าหากเปรียบชีวิตเป็นการเดินทาง
จุดเริ่มต้นของชีวิต กับ จุดจบของชีวิตของเรานั้น
มันจะเป็นระยะทางห่างกันแค่ไหน ?

 

เราตั้งเป้าหมายในชีวิตเพื่อให้ไปถึงอย่างที่ฝัน
เราพัฒนาตัวเองให้เติบโตและก้าวเดินบนสิ่งที่ใช่

เมื่อมองย้อนหลังกลับไป
เราจะพบว่าเราเดินทางมาไกลเสียเหลือเกิน

และนั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็นของชีวิต
ก่อนที่มันจะจบ เราควรจะพบคุณค่าของตัวเอง

.
.

ในช่วงการเดินทางปีแรกๆ
เราจะพบกับการเติบโตทั้งทางร่างกายและความคิด

เรามีร่างกายที่แข็งแรงขึ้น
เรามีความคิด ความสามารถ ที่เพิ่มมากขึ้น
เพื่อให้สามารถพิชิตแบบเรียนอนุบาลหนึ่ง
ไปจนถึงข้อสอบเพื่อไปถึงชีวิตการทำงาน

เราอาจจะคว้ามันได้ทั้งหมด
เราเก็บสะสมความสำเร็จได้บ้าง
หรือ เราอาจจะผิดพลาดผิดหวังตามทางเป็นระยะ

.
.

ในช่วงกลางของการเดินทาง
เราจะเจอกับการเติบโตทางประสบการณ์และแนวคิด

เราใช้ชีวิตได้มากขึ้น
เราเพิ่มความคิด ความชำนาญ จากการทำงาน
เพื่อให้สามารถเพิ่มศักยภาพในการใช้ชีวิต
ตั้งแต่รายได้ไปจนถึงสถานะทางสังคมที่เราอยากจะมี

เราอาจจะคว้ามันได้ทั้งหมด
เราอาจจะเก็บสะสมสิ่งที่ต้องการได้บ้าง
หรือ เราอาจจะผิดพลาดผิดหวังเมื่อไม่ได้เป็นอย่างใจ

.
.

ในช่วงท้ายของชีวิต
เราหยุดเพื่อทบทวนสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด

เราเสื่อมลงทั้งทางร่างกายและความคิด
เราฝืนมีชีวิตเพื่อที่จะอยู่รอคอยอะไรบางอย่าง

เราเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองโดยการมองย้อนกลับไป
เราพบว่าสิ่งที่เราไขว่คว้าได้มาตลอดนั้น

บางสิ่งไม่มีค่าอะไร
บางสิ่งเคยมีค่ามากมายแต่ไม่ได้ใช้
และบางสิ่งยังมีความหมายอยู่เสมอ

เราไม่สนใจว่าเราจะคว้าอะไรได้เพิ่ม
เราทำได้แค่เติมแต่งและรักษาสิ่งที่มีไว้ให้คงสภาพเดิม

 

13315580_10153644416728450_1537581405454732625_n

 

ถ้าหากเปรียบชีวิตเป็นการเดินทาง
จุดเริ่มต้นของชีวิต กับ จุดจบของชีวิตของเรานั้น
มันจะเป็นระยะทางห่างกันแค่ไหน ?

บางคนอาจจะไปไกลสุดทาง
บางคนอาจจะหมุนวนเหมือนเรือในอ่าง
บางคนอาจจะอ้างว้างอยู่ตรงจุดเดิม

เมื่อมองย้อนหลังกลับไป
เราจะพบว่าต่อให้เราเดินทางมาไกลแค่ไหนก็ตาม

ท้ายที่สุดแล้วความพยายาม
… ก็ไม่ได้มีค่าอะไรมากนัก

-004 : เมื่อเราเติบโตขึ้น เรากลับพบว่าชีวิตมันไม่ได้ “อร่อย” เหมือนเคย

 

เมื่อเราเติบโตขึ้น

เรื่องที่รับรู้มันไม่ได้มีแต่อร่อยเหมือนเคย

ทำให้รู้สึกว่าแต่ก่อนเรานี่เป็นอีป้าโลกสวยในกะลาจริงๆ

แต่ก่อนเชื่อว่าชีวิตแม่มคอนโทรลได้สิ คนที่ยังคอนโทรลไม่ได้

 

อาจเป็นเพราะยังไม่เข้าใจตัวเอง ยังไม่เข้าถึงอะไรแบบนี้

ผมนั่งอ่าน Status ที่ว่านี้ในเพจๆหนึ่ง แล้วย้อนนึกถึงตัวเองในวันเก่าๆ กับประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตถึงระดับที่เรียกได้ว่าเข้าสู่วัยกลางคน สังเกตได้จากเส้นผมดำที่ลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ จนทำให้เราต้องคอยปกปิดความขาวด้วยสารเคมีที่ผ่านการคัดสรรว่ามาจากธรรมชาติ

 

ก่อนที่จะกลายเป็นโฆษณายาย้อมผมไปมากกว่านี้ คำถามที่มีอยู่ในใจก็เริ่มปรากฎชัดเจนขึ้นว่า ยิ่งเราเติบโตขึ้น สิ่งที่เราคิดนั้นควรเปลี่ยนแปลงไป หรือ ยังยึดมั่นอยู่กับมันเหมือนอย่างเดิม ถ้าให้ตอบแบบสวยงามตามเนื้อผ้าก็ควรจะมีทั้งสองอย่าง คือ สิ่งที่ดีควรจะยึดถือไว้ และ สิ่งที่ไม่ดีก็ควรจะเปลี่ยนแปลงไป

 

แต่หากตอบโดยมองโลกจากมุมมองของตัวผมเอง ผมเชื่อว่าทุกสิ่งที่เราคิดนั้นต้องเปลี่ยนแปลงไปเสมอ แต่เหตุผลที่บางความคิดยังไม่ถูกเปลี่ยนไปนั้น มันคงเป็นเพราะยังไม่มีสถานการณ์มากระทบให้เราต้อง “เปลี่ยน” มากกว่า

 

ลองจินตนาการเล่นๆขึ้นมาว่า ถ้าหากคุณเป็นคนที่ยึดมั่นในความดี แต่ถูกรังแกด้วยความชั่วช้าที่ถาโถมเข้ามาเรื่อยๆในชีวิต วันหนึ่งคุณอาจจะเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงกลายเป็นคนที่ไม่ศรัทธาความดีอีกต่อไป หรือต่อให้คุณกล้าบอกว่า คุณยังศรัทธาความดีอยู่ก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วสายตาที่คุณมองโลกนั้นก็จะไม่เหมือนเดิมอยู่นั่นแหละ นี่คือเหตุผลที่ผมให้คำตอบกับตัวเองว่า ทุกความคิดนั้นมีสิทธิ์เปลี่ยน

 

คำถามต่อมาหลังจากคำตอบว่า “ทุกคนทุกสิ่งล้วนต้องเปลี่ยนแปลง” คือ การเปลี่ยนแปลงที่ว่าอยู่ในระดับไหน ระหว่าง “ปัจจัยภายนอกที่มาตกกระทบให้ภายในเปลี่ยน” หรือ “ปัจจัยภายในเปลี่ยนเพราะอยากจะเปลี่ยนให้สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นดีขึ้นกว่าเดิม” กันแน่

 

และต่อให้ “ประสบการณ์เปลี่ยนเราแค่ไหน แต่สุดท้ายเราต้องเปลี่ยนตัวเอง” คำพูดคมๆคุ้นๆ ที่เคยบอกผมว่า ถึงแม้สภาพแวดล้อมหรือประสบการณ์ที่ว่านั้น มันคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตัวเราจากภายนอกและมันอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะสภาวการณ์ต่างๆล้วนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ตะกอนความคิดจากภายในที่ถูกสร้างขึ้นมาจากตัวเราเองนี่แหละ จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

 

ลองจินตนาการต่อไปว่า ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่เจอคนโกงมาเยอะมากๆ มันย่อมไม่แปลกที่คุณจะไม่ไว้ใจใคร (จากประสบการณ์) แต่ไม่ได้แปลว่าคุณต้องไม่ศรัทธาในความดี หรือยึดถือว่าสายตาที่คุณมองโลกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง (จากสิ่งที่อยู่ภายใน) และในขณะเดียวกัน ถ้าคุณเจอแต่คนดีมาโดยตลอด ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะสามารถไว้ใจใครได้ 100% จากโลกที่เราเจอ

 

“อย่าคิดว่าชีวิตมันจะนิ่ง ถ้าอายุมึงยังไม่ถึง 40”

 

คำพูดสั้นๆที่ผมจำขึ้นใจจากปากของพี่ที่เคารพ อาจเป็นหนึ่งแรงผลักดันที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านในช่วงวัยกลางคนกลับกลายเป็นการพยายามทำความเข้าใจโลก มากกว่าความพยายามที่จะสร้างโลกที่เราเข้าใจเหมือนอย่างในวัยก่อนหน้านี้

 

ในวันที่เราอายุ 20-30 โลกที่เราแบกไว้ดูเหมือนยิ่งใหญ่ เราเห็นใครหลายคนที่ประสบความสำเร็จจาก “ต้นทุน” ที่มีมาไม่เท่ากัน และ “ความสามารถ” ที่แตกต่างสร้างสรรค์จากธรรมชาติกอปรกับความพยายามที่จะสร้างมันขึ้นมาด้วยไฟของหนุ่มสาว

 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป หากมีโอกาสได้ย้อนมองดูตัวเองในสิ่งที่ผ่านมา และมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงที่หนักหนาในวัยที่เกินกว่า 30 ปี การเสื่อมถอยของคนรุ่นก่อน ภาระความรับผิดชอบที่อาจจะไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเราเพียงคนเดียว ผูกพันลดเลี้ยวไปจนถึงความคงที่บางอย่างที่ “นิ่ง” จนอาจกลายเป็นหลุมพรางในการใช้ชีวิต ทำให้เริ่มรู้สึกสัมผัสถึงความซับซ้อนของการเป็นมนุษย์ และมันก็ทำให้สะทกสะท้อนใจไม่ใช่น้อยว่า

 

ไอ้ชีวิตที่เราคิดว่าเราเข้าใจนั้น…

จริงๆเราไม่ได้เข้าใจมัน .. แม้แต่นิดเดียว :)