017 : ความสุข เงินตรา ชีวิต มายา และการค้นหาคำตอบให้ตัวเอง

.

มึงมีความสุขได้ยังไงวะ ?

ผมตั้งคำถามหลังจากที่สบตากับเธอเบาๆ เธอผู้ผ่านความเศร้าและความทุกข์ในชีวิตมากมาย สามีทรยศหนีไปกับสาวแก่แม่ม่าย ทิ้งไว้แต่ลูกน้อยให้ดูแลเพียงลำพัง หุ้นส่วนใหญ่ยักยอกเงินไปทำกิจการของคู่แข่ง หนี้พนันของน้องชายที่ทำให้แม่ร้องไห้เป็นสายเลือด และอื่นๆอีกมากมายที่เข้ามากระทบชีวิต แต่ก็ดูเหมือนว่าความทุกข์ทั้งหลายเหล่านั้นไม่อาจจะทำร้ายได้เธอได้แม้แต่น้อย

เธอยิ้มก่อนที่จะตอบผมว่า
ถ้าหากคนเราเจอความทุกข์มากถึงจุดหนึ่ง มันจะชินและเข้าใจไปเอง

คนเราค้นหาความสุขมากมายในชีวิต ที่เคยไม่มีพอมีแล้วก็อยากได้ ที่เคยมีแล้วก็กลายเป็นไม่พอ สุดท้ายเรานั่นแหละก็จบชีวิตไปอย่างที่ไม่รู้เลยว่า ความสุขคืออะไร เธอพูดพลางชี้นิ้วให้ดูลูกน้อยที่กำลังวิ่งเตาะแตะในสนามหญ้า พร้อมกับเสียงหัวเราะอ้อแอ้เหมือนกับว่ามันช่างเป็นความสุขเสียเต็มประดา

“ความสุขมันไม่ได้ยาก ถ้าเราไม่พยายามไปรับรู้อะไรมากนัก”
เธอตบไหล่ผมเบาๆ ก่อนที่จะลุกเดินออกไปโดยไม่กล่าวคำร่ำลา

.
“เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่มันจำเป็น”

เขาบอกผมในวันที่ตัวของเขามี “อิสรภาพการเงิน” ชนิดที่ไม่ได้มาจากการจัดสัมมนาปลุกใจกระตุ้นฝันเปลี่ยนพลังให้คนทั้งประเทศมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่เขาสร้างตัวเองจากการทำงานและการลงทุน ภาพลักษณ์ของมนุษย์เงินเดือนธรรมดาที่ไม่ไ้ดประสบความสำเร็จใดๆ กลับเป็นคนที่มีเงินใช้ไม่ขาดมือจากมันสมองของเขา

ไอ้พวกที่บอกเงินสำคัญก็น่ารำคาญ ไอ้พวกที่บอกเงินไม่สำคัญก็น่ารำคาญ เพราะพวกแม่งมัวแต่สนใจว่าเงินคืออะไร มากกว่าพวกมันจะใช้วิธีไหนในการหาเงิน เรื่องทุกเรื่องมันก็มีความจำเป็นและสำคัญของมันอยู๋ เป็นไปไม่ได้หรอกมึง ที่มันจะมีโลกเพียงด้านเดียว เหมือนคนดีคนชั่วอ่ะ มันอยู่ที่คนมอง บางคนมึงเห็นเค้าดี แต่คนอื่นด่าว่าเค้าชั่ว แบบนี้เขาเป็นคนดีหรือคนชั่ววะ คำพูดร่ายยาวเหมือนอัดอั้นของเขา ทำให้ผมหยุดหัวเราะไม่ได้

คือไอ้เรื่องเงินเนี่ย มึงต้องตอบตัวเองก่อนว่า มันสำคัญในเรื่องไหน และมันไม่สำคัญในเรื่องไหน เรื่องที่สำคัญที่มึงต้องใช้เงินมันก็มี เรืองไม่สำคัญที่มึงคันอยากจะใช้มันก็มี ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับเงิน มันเกี่ยวที่ความรู้สึกมึงต่างหาก

เขาดูเหมือนกำลังพูดเรื่องที่ผมไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย…

.

“ชีวิต คือ มายา”

ความตายมันน่ากลัวนะ … ไม่สิ ความกลัวตายมันน่ากลัวกว่า เพราะมันทำให้คุณมองหาสิ่งที่ไม่เป็นจริง ชีวิตมันเป็นเรื่องมายา เราชอบสมมุติว่าต้องมีแบบนั้นถึงจะดี มีแบบโน้นถึงจะใช่ มีแบบไหนถึงจะสมบูรณ์ แต่เอาเข้าจริง มีด้วยหรอวะชีวิตที่สมบูรณ์น่ะ มันไม่มีหรอก ต่อให้มึงคิดว่าวันนี้สมบูรณ์นะ ถ้ามีใครมาบอกว่ามึงไม่สมบูรณ์ มึงก็จะรู้สึกนิดๆ ถ้าคำพูดของคนนั้นมันตรงจริตมึงอ่ะนะ แต่ถ้ามึงมั่นใจในชีวิตมากไปว่ามึงสมบูรณ์แล้ว มันก็แปลว่ามึงอ่ะติดกับอัตตา หลงความมีตัวตนไปหมด ทั้งๆที่สุดท้ายชีวิตที่ดี มันก็คือ ชีวิตที่มีมายารายล้อมมึงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

ผมยิ้มให้กับเขา ผู้ที่ผมไม่รู้จักแต่กลับตะโกนโหวกเหวกอยู่ข้างสะพานลอยราวกับมีคนนับร้อยรับฟังความคิดของเขา เสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ทรงผมที่พันกันยุ่งราวกับไม่เคยได้เจอกับน้ำมานานแล้ว กลับทำให้ผมหยุดฟังเนื้อหาที่เขาพูดได้ เพราะบางทีเราอาจจะเคยคิดคล้ายๆกัน เพียงแต่สถานะของเขาในวันนี้ มันไม่มีความน่าเชื่อถือหลงเหลืออยู่

… ชีวิตก็แค่นี้เอง

.

คำตอบที่บางครั้งไม่ได้ต้องการ “คำถาม”

13177675_10153603687543450_750079176901514168_n

หลายครั้งที่ผมเขียนเรื่องด้วยอาการที่ไม่รู้จะเขียนอะไร แต่พยายามจะเขียนมันออกมาเพื่อใช้บำบัดอาการ “กลวงแกว่ง” ของตัวเอง ผมเรียกชื่ออาการตัวเองแบบนั้นในวันที่นั่งเศร้าๆ เหงาๆ อึนๆ โดยที่ไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร บางครั้งช่วงขณะหนึ่งเราก็รู้สึกว่าชีวิตมันช่างมีความสุขกับความสำเร็จที่ผ่านมา บางครั้งอีกช่วงขณะเราก็รู้ว่าชีวิตมันทุกข์แสนทุกข์ เมื่อเราหันไปมองสิ่งที่เรายังไม่มี บางครั้งก็เราก็รู้สึกชื่นใจกับอนาคตที่มันกำลังลอยมาใกล้ให้เราเอื้อมมือคว้า ในขณะที่บางครั้งเราก็รู้สึกกลัวเมื่อคิดถึงปัญหาที่กำลังจะตามมาจากการกระทำของใครสักคนหนึ่ง เรื่องเหล่านี้วนเวียนวกวนวิ่งวุ่นวายอยู่กับเราเหมือนเป็นวัฏจักร

และเราก็คงต้องพบเจอ หมุนเวียน เรียนรู้อยู่กับมันต่อไป
จนกว่าจะถึงวันไหนที่เราได้นอนหลับชั่วนิรันดร

-006 : “อัตตาและคุณค่า” ในคืนที่ผมถามตัวเองว่าเจอรักแท้แล้วหรือยัง ?

 

มันเป็นตอนเย็นหลังเลิกงานที่ฝนตกหนักกว่าที่เคย วันอังคารแบบนี้.. ฝนตก – รถติด – ชีวิตลำบาก และก่อให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดแกมรำคาญเมื่อได้ยินเสียงหยดน้ำที่ร่วงลงมาจากฟ้าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน

 

ผมยืนนิ่งๆ อยู่หน้าร้านตัดผมชายชื่อดังย่านสยาม พร้อมด้วยผมบนหัวที่ถูกเซตมาอย่างเรียบร้อย ถ้าใครบ่นว่าล้างรถแล้วฝนตก ความทุกข์ของผมคงมากกว่าพวกเขาตรงที่หัวของเราไม่มีรับประกันเซตใหม่ภายใน 24 ชั่วโมง

 

เสียงฝนตกหนักยามเลิกงาน เปรียบเหมือนสัญญาณที่ตอกย้ำความผิดพลาดในชีวิตของผมย้ำๆซ้ำๆ หลังจากที่ในวันนี้ต้องพบกับความผิดพลาดไปหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่ความตั้งใจแรกเริ่มว่าจะไปถ่ายรูปให้ – ครูเปิ้ล Mind Director – เพื่อนรักที่กำกับละครเวที “Love Game the Musical” ตอนทุ่มกว่าๆ โดยที่ทึกทักเอาเองว่า ทีมงานจะซ้อมกันที่โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ (ชั้น7 สยามสแควร์วัน) เหมือนกับวันแสดง แต่ความเป็นจริงคือซ้อมกันที่สตูดิโอย่านทองหล่อจ้า #เราคิดว่าควายน่ะควายแล้วแต่เราควายกว่า

 

เมื่อเข้าใจผิดไปตั้งแต่แรก แพลนที่วางไว้เพราะความคิดที่ว่า ไม่อยากเสียเวลาไปฟรีๆ ด้วยความที่ชีวิตในกรุงเทพเหมือนกับการแข่งขัน ทำอะไรต้องทำให้คุ้มตลอดเวลา และทุกๆวินาที ผมเลยตัดสินใจแวะมาตัดผมก่อน กะว่าเรียบร้อยก็จะไปโรงละครต่อแบบชิวๆ สรุปคือต้องเปลี่ยนแผนเป็นเดินตัวปลิวขึ้นรถไฟฟ้าไปทองหล่อซะงั้น ( – -“) และทั้งหมดนั้นคือสาเหตุที่ผมยังคงหงุดหงิดตัวเองอยู่เหมือนกับฝนที่ไม่หยุดตก

วันนี้ผมเห็นบทความเรื่อง “จุดอิ่มตัวของ Content Marketing บน Facebook” ถูกแชร์กันกระหน่ำมากมายวัวตายควายล้ม และมันคือบทความที่สะท้อนเรื่องจริงในยุคที่เรามีข้อมูลให้เสพจนล้นสมอง (Information Overload) แต่ยังคงมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่าเดิม เราจึงไม่สามารถยัดทุกอย่างเข้าไปในนั้นได้ทั้งหมด ถึงแม้หัวใจของเราจะต้องการแค่ไหน

บทเรียนของเรื่องนี้แปลว่าสิ่งที่เราต้องปรับตัวกันครั้งใหญ่สำหรับคนที่ใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือ คงไม่ใช่การสร้าง “ปริมาณ” หรือจำนวนผลงานออกมาให้มากขึ้น แต่คงต้องเป็นเรื่องของการ “คัดกรอง” และ “คัดสรร” เรื่องที่เราต้องการจะบอกให้โลกนี้รับรู้อย่างมี “คุณภาพ” มากขึ้นทดแทน และการแย่งชิงครั้ง “พื้นที่” ย่อมเกิดขึ้นวนเวียนไปไม่รู้จบ

 

สุดท้าย “คุณค่า” ก็ชนะเลิศครับ

พี่ที่ผมเคารพท่านหนึ่งพูดไว้แบบนั้น

 

ระหว่างที่กำลังใจลอยคิดเรื่องนี้อยู่ รู้สึกตัวขึ้นมาอีกที ผมกำลังเดินทางอยู่ในตู้โดยสารของรถไฟฟ้าที่ออกจากสถานีสยามไปทองหล่อ ด้วยสภาพที่เบียดแน่นยิ่งกว่าปลากระป๋อง ผสมผสานกับกลิ่นฝน กลิ่นเหงื่อ และความเหนื่อยหน่ายของคนหลายคนในรถไฟฟ้า ทำให้รู้สึกราวกับว่าบรรยากาศช่างชวนให้อึดอัดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

 

ในเมืองใหญ่แห่งนี้.. เราแข่งขันในทุกๆเรื่องจนเคยชิน ตั้งแต่แย่งกันกิน แย่งกันใช้ ร้านอาหาร ถนน ระบบขนส่งสาธารณะ พื้นที่ส่วนตัวต่างๆ ถูกบีบให้เล็กลงด้วยผลของการแย่งชิง ทุกวินาทีดูเหมือนจะมีค่า เพราะถ้าหากไม่ชนะขึ้นมาก็ดูเหมือนมันจะไร้ความหมาย แต่คิดอีกที เราจะเอาชนะคะคานกันไปทำไมในการใช้ชีวิตขนาดนั้น เพราะเราก็รู้กันดีว่ายิ่งรีบเร่งแค่ไหน บางครั้งก็ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรเร็วขึ้นกว่าเก่า

“สถานีทองหล่อ” เสียงสัญญานอัตโนมัติจากรถไฟฟ้าดังขึ้นบอกว่าผมไปถึงเป้าหมาย ลงจากสถานีไม่ทันไร น้องฝ้ายมายก็อดเนตไอดอลเจ้าของเพจเบียร์จ๋าฉันมาแล้วจ๊ะ ก็พูดแซวขำๆขึ้นมาว่า “โหยยพี่ .. แค่มาถึงก็เหนื่อยแล้วว่ะ กลับเลยดีกว่าไหม”

 

สายฝนที่สถานีทองหล่อไม่แตกต่างกับสถานีสยาม จนทำให้คำว่า “ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” กลายเป็นคำกล่าวอ้างที่เกินจริง เราสองคนตัดสินใจหาอะไรกินกันที่ปากซอย ก่อนที่จะเดินเข้าซอยไปที่สตูดิโอด้วยระยะทางประมาณ 500 เมตร

 

“พี่เอาถุงไหม” เนตไอดอลเจ้าเก่าเจ้าเดิม เพิ่มเติมคือยื่นถุงพลาสติกมาให้ ถ้าใครผ่านมาในช่วงนั้น คงได้เห็นบรรยากาศฝนพรำๆยามค่ำคืน ที่มีเด็กผู้หญิงหนึ่งคนถือร่มสีสดใส กับผู้ชายอีกหนึ่งคนที่มีถุงพลาสติกสีขาวคลุมหัว เดินเข้าไปยังสตูดิโอ พร้อมกับเสียงบ่นพึมพำไปตลอดทาง

 

ในแต่ละวัน เราตื่นแต่เช้าออกไปทำงาน พักเที่ยง ทำงานต่อ เลิกงาน กลับบ้าน วนเวียนหมุนเวียนไปปีแล้วปีเล่า เราทำงานได้มากขึ้น มีประสบการณ์และความรู้หลากหลายมากขึ้น รู้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องรู้เพิ่มขึ้น และลืมเรื่องบางเรื่องที่ควรรู้ไปโดยไม่รู้ตัว

 

เราบอกตัวเองว่าต้องรู้เพียงเพราะเราสนใจว่าเราอยากรู้หรือเปล่า เรื่องชาวบ้าน ข่าวสาร อาชญากรรม การเมือง เรื่องดารา หลอกลวง โป้ปดมดเท็จ เทคนิคการทำตัวให้อินเทรนด์เพื่อที่เราจะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโดยที่เราก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น

 

เราสร้าง “ความมีตัวตน” และค้นพบว่ามันคือ “อัตตา” ในการมีชีวิต ศักดิ์ศรี ความเคารพนับถือ ความเชื่อ ศรัทธา ตรรกะ หลอมรวมจนยึดติดว่ามันเป็นของเรา แต่เอาเข้าจริงเราต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่า ไม่ว่าเราจะพยายามมีตัวตนแบบไหน แต่สิ่งที่ใช้ตัดสินตัวตนเรากลับเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้อย่างสายตาคนอื่น

 

น้องฝ้ายนำทางมาจนถึงสตูดิโอในเวลาประมาณ 2 ทุ่มนิดๆ เลทกว่าเวลาที่นัดไปประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ พร้อมด้วยเสียงบ่นของผมที่บอกว่า “น่าจะขับรถมา” กระปอดกระแปด

 

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เข้ามาดูการซ้อม “ละครเวที” แบบสดๆ เพราะโดยปกติแล้วในสายงานที่ทำอยู่คงไม่มีโอกาสแบบนี้ ถ้าไม่มีเพื่อนเป็นผู้กำกับละครเวทีอย่างที่เป็นอยู่ (อิอิ)

 

ถ้าจำไม่ผิด ผมได้มีโอกาสดูละครเวทีครั้งแรกประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว น่าจะเป็นเรื่อง บางกอก 2485 เดอะมิวสิคัล ที่ หอประชุมใหญ่, ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่มีเมืองไทยรัชดาลัย) และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีโอกาสได้ไปละครเวทีที่เป็น Musical บ่อยๆ จนมาช่วงหลังๆ 5 ปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีเวลาไปดูเพราะเวลางานและข้อจำกัดชีวิตที่ขีดให้ตัวเอง บีบให้ต้องบริหารสมดุลของเวลาให้ดี

 

เมื่อก่อน ผมเคยสงสัยว่า “ทำไมบัตรละครเวทีมันแพงจังวะ” แต่เมื่อได้สัมผัสกับบรรยากาศของละครเวที ผมก็รู้ดีว่าต้นทุนของมันนั้นไม่ใช่น้อยเลย ทั้งนักแสดงทุกคนที่ต้องเป๊ะ (พลาดไม่ได้เพราะเล่นสด) เพลงประกอบ ฉาก คนทำงานเบื้องหลังและการเตรียมงานของมันก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ซึ่งถ้าลองหักลบคิดคำนวณออกมาแล้ว มันก็คุ้มราคาในระดับหนึ่ง ยิ่งถ้าหากคุณเป็นคนชอบงานประเภทนี้และสามารถจ่ายไปได้โดยที่ไม่มีปัญหา ผมก็แนะนำตรงๆว่ามันก็ไม่เสียหายอะไร (เพราะบางครั้งเราก็จ่ายเรื่องอื่นๆไปในราคาที่แพงกว่าเหมือนกันแหละ)

ผลงานละครเวทีหนึ่งเรื่อง กว่าจะมีภาพของความสำเร็จหน้าฉากออกมาได้งดงามขนาดนี้ หลายคนคงสงสัยว่าหลังฉากที่มีมันต้องวุ่นวายและเหนื่อยยากขนาดไหน นึกแล้วก็เหมือนกับเรื่องของความสำเร็จในชีวิตมนุษย์คนนึงที่มีแสงไฟสาดส่องให้คนมองเห็น แต่ก่อนที่ไฟจะฉายขึ้นมานั้น เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาผ่านอะไรมาบ้างขนาดไหน และสุดท้ายเมื่อไฟที่ฉายส่องนั้นดับลง เราจะยังคงจดจำเขาไว้ในลักษณะไหน

 

ในยุคที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง รวดเร็ว หลอมรวมกับความสำเร็จแบบว่องไว เราเห็นหลายคนเร่งส่องแสงไฟจนหลอดขาดแล้วระเบิดใส่หน้าแหกกันไปตามๆกัน เราเห็นไฟระยิบระยับแสบตากับความไม่พร้อมก่อนที่จะออกมายังหน้าเวที และเราเห็นสีหน้าแห่งความอับอายก่อนที่ไฟที่ฉายจะดับวูบลง

 

บางทีผมก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า

ในชีวิตของคนเราทุกคนนั้น …

เราจำเป็นต้องรีบเร่งกันถึงขนาดนั้นเลยหรือ

ผมยืนกดชัดเตอร์อยู่มุมขวาของห้องแบบเก้ๆกังๆ แบบไม่รู้จะไปทางไหนดี มือขวาถือกล้องที่หยิบยืมมาทำให้ปรับตั้งค่าไม่ได้อย่างที่ใจคิดสักเท่าไร ทำให้ต้องหันหน้าไปถามฝ้ายมายก็อดเป็นระยะๆ

 

ระหว่างที่หันมองซ้ายขวาหามุมถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ความรู้สึกที่มองในฐานะคนนอกที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงาน มองเห็นความวุ่นวายของการยกฉาก ยกไฟ มองเห็นส่งอุปกรณ์ประกอบฉากไปๆมาๆ แน่ละ เพราะว่ามันคือการซ้อมตามปกติ ผมจึงไม่มีโอกาสเห็นแสงไฟสาดส่องไปที่นักแสดงแต่ละคู่แต่ละคน ตอนแรกก็ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ค่อยได้ด้วยการที่มาสาย แต่ก็ใช้ความสามารถส่วนตัวพยายามที่จะปนตัวเองเข้าไปดูเนื้อเรื่องให้เข้าใจในที่สุด (นี่คงเป็นความสามารถพิเศษที่เราชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านแน่ๆ)

 

Love Game The Musical เป็นละครเพลงแนวใหม่ในสไตล์โมเดิร์น เรื่องราวของหนุ่มสาวสามคู่ที่เกิดจากการความต้องการแข่งขันด้านความรัก เพื่อให้ได้รับชัยชนะทางความรู้สึกในสังคม จนเกิดเรื่องสนุกสนานและวุ่นวายตามมา ถ้าใครสนใจเรื่องราวต่อจากนี้ ลองอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ครับ ก๊วนคานทอง Love Game The Musical

 

เรื่องราวในละครเวทีเรื่องนี้สะท้อนถึงความรัก ในแง่มุมของความพยายามที่จะมี “รัก” เพื่อให้เกิด “ชัยชนะ” ในเกมส์ๆ หนึ่ง แต่ดูละคร (เวที) แล้ว เราลองย้อนมาดูชีวิตจริงของตัวเองว่า “ความรักของเรากำลังทำให้เกิดทุกข์อยู่หรือเปล่า” ผมนึกถึงเรื่องของความสำเร็จในชีวิตคู่ที่ทุกคนต้องมีตามครรลองขึ้นมา เรียกได้ว่า ตาม Step ที่เราชอบสงสัยเรื่องของชาวบ้าน เอ๊ะ คู่นี้.. จีบกันหรือเปล่า เป็นแฟนกันหรือยัง แต่งงานเมื่อไร ทำไมยังไม่มีลูก คำถามคลาสสิกที่วนเวียนซ้ำๆ ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำเหมือนกับการแปรงฟันวันละ 2 ครั้งหลังอาหาร

 

แต่คำถามจริงๆ คือ ความรักของเรามันควรเป็นแบบนั้นหรือ ? ความรักไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจเหมือนฝนในหน้าแล้ง หรือควรเป็นเหมือนแดดอ่อนๆฉายมา ยามที่ฝนหนักๆได้ผ่านพ้นไป

 

ความรักที่ดี

ควรทำให้หัวใจของเรารู้สึกถึงคุณค่าของการมีชีวิต

มากกว่าการถูกลิขิตว่า

ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ตามที่ “สังคม” ต้องการ

 

ตัวตน อัตตา ที่มันมากเกินความจำเป็น (แน่ละส่วนนึงสังคมเข็นและผลักไสให้เราเป็นแบบนั้น) และอีกส่วนนึงมันคงมาจากความต้องการที่จะทำให้คนที่เรารักเป็นไปอย่างที่ตั้งใจ ทำไมเธอไม่เหมือนคนอื่น ทำไมชีวิตเราไม่ชื่นมื่นกับความผาสุกเหมือนที่ควรจะเป็นตามที่เห็นในสังคม

 

เรากำลังติดบ่วงอยู่กับ “ความพยายาม” ทำทุกอย่างให้ดีแบบสุดๆทาง จนลืมไปว่า ชีวิตคนเรานั้นไม่สามารถควบคุมอะไรได้ตามใจ ขนาดนั้นหรอก ผมเชื่อว่าคนที่มีความสุขในชีวิตนั้น เขามองเห็นสิ่งที่ควรทำ และ สิ่งที่ต้องทำ ของตัวเอง ได้อย่างชัดเจน มากกว่าการวนเวียนหมุนเวียนกับความพยายามเหล่านั้นปีแล้วปีเล่า จนสรุปสุดท้ายแล้วเราอาจจะลืมถามตัวเองไปว่า ที่มีความสุขอยู่ทุกวันนี้ มันคือความสุขจริงๆ หรือมันเป็นความรู้สึกที่ต้องมีความสุข

กล้องทำหน้าที่ของมันต่อไป ส่วนผมก็ทำหน้าที่กดรัวๆ ไม่ให้เสียดายเวลาที่มาทำหน้าที่ ผมมองเห็นนักแสดงหลักซ้อมกันอย่างขะมักเขม้น สลับกับภาพของนักแสดงประกอบ ผู้กำกับ คนควบคุมการแสดง และเสียงเพลงประกอบ หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไป

 

พวกเขาเหล่านี้มีเป้าหมายเดียวกันคือการตั้งใจทำงานในช่วงระยะเวลาหนึ่งร่วมกันให้ดีที่สุด ผมสัมผัสได้ถึงพลังแบบนั้นจากการนั่งมองอย่างไร้ตัวตน สลับกับการหมุนวนเดินไปกดชัดเตอร์ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง หลังจากองก์แรกของการซ้อมได้จบลง

 

ระหว่างการซักซ้อม ผมมองเห็น พวกเขาเล่นละครเวที ราวกับมีเพียงแต่พวกเขา ทั้งๆที่รอบๆนั้นเต็มไปด้วยผู้คนเดินไปเดินมา การผลัดเปลี่ยนฉาก เสียงหัวเราะ การตัดเข้าเพลง ฯลฯ หรือแม้แต่เสียงชัตเตอร์ของผมบางครั้งที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ก็ไม่ได้ทำให้สมาธิหลุดแต่อย่างใด

 

….หรือนี่คือโอกาส

ที่สอนให้ผมเข้าใจในเรื่องการ Focus ในสิ่งที่เราทำแบบจริงจัง

“กลับยัง รถไฟฟ้าจะหมดแล้ว”

“แต่อีกเดี๋ยวก็ได้มั้ง ใกล้จะจบแล้ว”

ห้าทุ่มเศษๆ ผมเหลือบดูข้อความจาก Facebook Messenger สลับกับฉากสุดท้ายของละครเวทีที่เต็มไปด้วยความสุข ภาพของงานแต่งงานที่พวกเขาร้องเล่นเต้นกันอย่างสนุกสนาน สลับกับเสียงหัวเราะที่ทำให้รู้สึกตรงกันข้ามกับความสดใสในช่วงเวลาที่กำลังจะเดินเข้าสู่วันใหม่อีกไม่นาน

 

ละครจบแล้ว ผมรีบเดินออกมา พร้อมกับน้องฝ้ายคนเดิม เพิ่มเติมคือรถไฟฟ้าใกล้หมด ส่วนการซ้อมนั้นยังดำเนินต่อไปในช่วงสุดท้าย นักแสดงและทีมงานยังคงต้องประชุมกันต่อไปเพื่อปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น

 

แน่ล่ะว่าการซ้อมวันนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา แต่ผมเชื่อว่ามีใครหลายคนกำลังเฝ้าคอยดูสิ่งที่ดีที่สุดในวันแสดงจริงอีกครั้งหนึ่ง

ระหว่างยืนคอยรถไฟฟ้ารอบสุดท้ายเพื่อนั่งกลับจากทองหล่อไปสยาม ผมถามตัวเองสั้นๆหลังจากการซ้อมละครเวทีเรื่องนี้จบลงว่า ตกลงแล้ว “รักแท้มีจริงไหม ?”

 

เมื่อพูดถึงคำว่า “ความรัก” เราทุกคนล้วนรู้สึกกับคำๆนี้ต่างกัน บางคนอาจจะรู้สึกสวยงามมันเหมือนอยู่ในความฝัน บางคนอาจจะรู้สึกว่าเหมือนกับมันไม่เคยเกิดขึ้น บางคนรู้สึกทุกข์ สุข และเหนื่อยเพราะความรัก แต่เชื่อเถอะว่า เราทุกคนล้วนต้องการความรัก อาจจะเพราะเราใช้ความรู้สึกของหัวใจมากกว่าสมองกับสิ่งนี้มาตั้งนานแล้ว

 

สุดท้ายแล้วผมได้คำตอบให้ตัวเองว่า ความรักมันคงไม่ได้เกิดมาเพื่อให้เราตั้งคำถาม แต่มันเป็นคำตอบที่สอนให้เราเรียนรู้และอยู่กับมันเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆบนโลกนี้

“สถานีสยาม” ฝ้ายมายก็อดโบกมืออำลาก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังสายสีลม ส่วนผมก็เดินเงียบๆผ่านความมืดในสยามแสควร์เพื่อไปยังที่จอดรถตรงตึกด้านหลังเพื่อขับรถกลับบ้านให้ได้นอนในวันที่ยาวนานแบบนี้เสียที

 

ระหว่างที่เดินไปที่รถ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความใน Facebook เช็ค Notification ที่เข้ามา สอดส่องเรื่องชาวบ้านอีกเล็กน้อย ก่อนจะปิดหน้าจอในโลกออนไลน์ลงไป และกดโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งในเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ

 

สำหรับคนปกติ เวลานี้คงไม่เหมาะที่จะคุยโทรศัพท์สักเท่าไร

และผมมั่นใจว่าใครคนหนึ่งกำลังรอโทรศัพท์สายนี้ของผมอยู่

… ด้วยความรู้สึกเล็กๆที่เรียกว่า “ความรัก” …

 

 

-015 : ไม่ว่าคุณจะเข้าใจจิตใจมนุษย์สักแค่ไหน ก็ไม่ควรไปยุ่งเรื่องความรักของคนอื่น

 

 

หน้าที่ของที่ปรึกษาที่ดีควรเป็นแบบไหน ?

ผมมักนั่งคิดอยู่เงียบๆ และถามตัวเองหลายครั้งเวลาที่ได้รับฟังปัญหาความรักของคนอื่น เราควรจะแนะนำอย่างไรดีนะ ปลดปล่อยความคิดของตัวเองไปให้สุดๆอย่างที่เรามองเห็นและวิเคราะห์ว่ามันควรจะเป็น หรือ นั่งเงียบๆให้กำลังใจในสิ่งที่เขาเป็นอย่างตั้งใจโดยไม่ต้องมีคำตอบ

 

ความรักมันเป็นเรื่องแปลกแสนแปลก เพราะบางครั้งสิ่งที่คุณคิดด้วยเหตุผลและวิเคราะห์ด้วยหลักการ กลับทำให้หัวใจและอารมณ์ของคุณกลายเป็นคนที่ไร้วิญญานในที่สุด

 

“มึงคงมองความจริงมากไปมั้ง ?” มิตรสหายท่านหนึ่งกล่าวปนสมเพชเบาๆ เวลาที่ผมเอาเรื่องคู่รักที่มีปัญหาไปเล่าให้ฟังในบทสนทนา พร้อมกับอธิบายแนวทางแก้ไขเป็นฉากๆ ราวกับตัวเองเป็นผู้รู้ปรมาจารย์ด้านความรัก ทั้งที่ในชีวิตนั้นผ่านพ้นมาเพียงนิ้วมือข้างเดียว

 

“ต่อให้ทฤษฏีกูถูกแค่ไหน ยังไงกูก็กลายเป็นหมาทุกที” ผมกล่าวด้วยเสียงหัวเราะปนสังเวชเบาๆ เวลาที่รู้ว่าผู้ปรึกษาเอาความเห็นของผมไปบอกเล่าให้ “คู่” ของเขาฟัง

 

เมื่อก่อนผมเป็นพวกที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอ จะเรียกว่า Self Center ก็ได้ เพราะไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร ปัญหาแค่ไหน ผมก็สามารถฟันธงจัดการให้มันจบไปได้ง่ายๆ พร้อมกับกลยุทธ์และวิธีการที่จะทำให้คนทั้งสองดำเนินการอย่างที่มันควรจะเป็น

 

แต่ความเป็นจริงที่ตอกย้ำผมจนได้สติ คือ “เรามีสิทธิอะไรไปสั่งให้เขาเป็นอย่างที่เราต้องการ” กับ “เมื่อคนรักคืนดีกัน ทฤษฏีสร้างสัมพันธภาพกลับตกมาซวยที่กู”

 

เมื่อเกิดความผิดพลาด ทั้งสองต่างมองหาว่าใครเป็นคนผิด แต่เมื่อปรับความเข้าใจได้ คนสุดท้ายอย่างที่ปรึกษานีี่แหละที่แม่งผิดเสมอ … ผิดทั้งเป็นคนที่ “เสือก” เรื่องชาวบ้าน และผิดทั้งเป็นคนที่ “สันดาน” เสียอยากเห็นผัวเมียเขาเลิกกัน

 

เมื่ออายุอานามและประสบการณ์ในการปรึกษาแก่กล้าขึ้น.. ผมจึงกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าที่จะให้คำปรึกษาใครนัก หรือถ้าให้ก็คงต้องบอกว่า “ลองไปคิดก่อนนะ” หรือ “พี่มองแบบนี้” ให้เหมือนเป็นการป้องกันตัวกลายๆ ว่า “อย่ามาโทษกูน้าาา”

 

บางครั้งเราให้คำปรึกษา

เพราะเราอยากเห็นชีวิตใครสักคนนั้นดีขึ้น…

อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ไอ้ที่ว่านั่นแหละ ทำให้ผมรู้ว่าการเป็นที่ปรึกษาความรักที่ดี ไม่ใช่การชี้ว่า คนนู้นผิด หรือ ควรทำแบบนั้นแบบนี้ แต่มันเป็นการยิ้มให้แล้วบอกว่า “เธอยังมีฉัน” อยู่ข้างๆ และเมื่อไรที่รู้สึกอ้างว้างก็แวะมาได้ละกัน

 

หรือถ้าหากสามารถให้ความเห็นได้ ก็จงให้ความเห็นแบบกลางๆ ที่ไม่ใช่มั่นอกมั่นใจว่ามันต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ หรือควรทำแบบนู้นนั้นนี้เลย รับรองพูดยังไงก็ไม่มีทางเวิร์ก

 

เพราะถ้าการให้ปรึกษา เพราะอยากเห็นใครสักคนดีขึ้น

แล้วเค้ามองเราเป็นหมาในภายหลัง มันก็เจ็บช้ำไปหนึ่งดอกฟรีๆ

ถ้ายิ่งมองเราไม่ดี แล้วชีวิตเราชิบหายตาม แบบนั้นลามปามหนักกว่าเก่า

 

สุดท้ายแล้วจนถึงวันนี้ ผมก็ยังมีคนมาปรึกษาอยู่เรื่อยๆ แหละฮะ อาจจะไม่มากเหมือนก่อนด้วยภาระหน้าที่ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมีและเชื่ออยู่เสมอในการให้คำปรึกษาก็คือ การทำให้เขาเจอคำตอบของเขาเอง

 

ถึงแม้คำตอบนั้นจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด

แต่ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วมนุษย์ทุกคนต้องเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง