010 : เรื่องเล่าในวันที่ Passion บอกกับผมว่า “คุณกำลังจะตาย”

 

ณทฟๅจ

 

Passion [N] ความหลงใหล,
See also: ความชอบ, Syn. emotion, feeling

 

เมื่อคืนวันอังคารของสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นวันหนึ่งที่ผมรู้สึกอ่อนล้าชนิดที่เรียกว่า “พร้อมจะเททุกอย่างทิ้ง” สาเหตุจากงานที่ถาโถมเข้ามาตั้งแต่ต้นปี 2016 พร้อมๆ กับเรื่องที่ชวนเครียดขบคิดให้ฤทธิ์น้ำย่อยในกระเพาะอาหารทำงานเกินขนาดมาระยะหนึ่ง และเพิ่มเติมความเจ็บป่วยเป็นระยะๆ ด้วยทัพสุดท้ายอย่างอาการหวัดที่เป็นตั้งแต่ปลายปีแต่ไม่มีทีท่าว่าจะหายดีไปง่ายๆ

ผมนั่งอยู่ในรถ – คันเดิมที่ขับอยู่เสมอๆ – หมุนวิทยุเปิด CD เพลงฮิปฮอปใต้ดินของศิลปินที่เคยชื่นชอบ – เหมือนเช่นเคย – แล้วปล่อยให้เสียงเพลงด่าทอส่อเสียดสังคมคลอไปเบาๆ -โดยที่ไม่สนใจเนื้อหาของมัน- และใช้พื้นที่หลังพวงมาลัยขบคิดกับคำถามที่ย้ำขึ้นมาในหัวซ้ำๆ ว่า

 

ทั้งหมดนี้ คือ งานที่กูรัก ?
หรือ งานที่กูพยายามหลอกตัวเองว่ารัก

 

ทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดเก๋ๆ อย่าง “ถ้าคุณทำงานที่คุณรัก คุณจะไม่ต้องทำงานตลอดชีวิต” ผมมักจะแอบสงสัยตามประสาคนชอบเสือกว่า คนเหล่านั้นไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เพราะเขาเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำอย่างสุดใจจนเหมือนมีไอยาบ้าลอยมาให้เสพแล้วดีดตลอดเวลา หรือเอาเข้าจริงพวกเขาก็เหนื่อยเหมือนเรานั่นแหละ แต่มันต้องสู้ต่อไปเพราะไม่มีอะไรที่รู้สึกดีกว่านี้ในชีวิตที่สามารถทำได้อีกแล้ว

ขอสารภาพ ณ จุดนี้ว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่แอนตี้แนวคิดแบบบวกๆ สวยๆ อวยกันทุกพื้นที่ ส่วนใหญ่มักจะเห็นเกลื่อนกลาดตาม Social Network ที่ใครหลายคนเลือกใช้มันเพื่อขับเคลื่อนแรงบันดาลใจในการมีชีวิตของตัวเอง ซึ่งเหตุผลในการแอนตี้นั้น มันเป็นเพราะผมไม่เชื่อว่าการใช้แรงบันดาลใจกระตุ้นตัวเอง มันคือสิ่งที่ถูกต้อง

ต่อให้แรงบันดาลใจดีแค่ไหน แต่ถ้าหากขาด “วินัย” และ “วิจารณญาน” มันก็เหมือนเรือที่แล่นไปแบบไร้หางเสือ พอมีคลื่นซัดแรงมาหน่อย เราก็ไปต่อได้ พอมีกะลาสีฝีพายดีมาช่วย เราก็พุ่งไปอย่างแรง แต่มันไม่มีทางรู้หรอกว่า ทิศทางข้างหน้าที่ไปนั้นมันคือทางที่ถูกต้องเพื่อให้เราท่องทะเลไปสู่เกาะร้างเป้าหมายจริงๆ

 

Passion [N] ความโกรธ,
See also: ความไม่พอใจ, ความโมโห, Syn. anger

 

ผมหันมองไปที่กระจกหลัง สลับกับมอเตอร์ไซด์ที่แล่นผ่ากลางระหว่างเลนเป็นระยะๆ สิ่งหนึ่งที่เป็นเหมือนเดิมมาตลอด คือ การจราจรบนเส้นสุขุมวิทที่ยังคงติดแหง็กในยามเย็น -ระหว่างที่ผมคิดไปไกลขนาดนี้- รถที่ผมขับก็ยังไม่ขยับไปถึงไหนอยู่ดี

คิดๆดูแล้ว.. เหมือนกับโลกนี้กำลังเล่นตลกกับชีวิตที่โหดร้ายของผู้ชายวัยกลางคนที่กำลังเพลียแหลกไปทั้งร่าง แต่ช่างมันเหอะ เพราะเราก็ยังสามารถหยิบโทรศัพท์ Smartphone ขึ้นมา “เล่น” เพื่อ “ฆ่าเวลา” ด้วยเรื่องของชาวบ้านในกล่องแคบๆที่หยุดนิ่งเรียงรายกัน #อย่าเล่นโทรศัพท์เวลาขับรถนะจ๊ะเด็กๆ

ระหว่างที่กำลังเสพ “เรื่องชาวบ้าน” อยู่นั้น สายตาผมพลันเหลือบไปเห็นข่าวเรื่องการลดภาษีในช่วงเทศกาลสงกรานต์และการขยายเวลาลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวขึ้นมา ซึ่งในฐานะของ “บล็อกเกอร์” ด้านภาษีและการเงิน (พื้นที่โฆษณา : ผมทำเพจชื่อ TAXBugnoms นะครับฝากติดตามด้วย #กราบ) ด้วยสัญชาติญานของบล็อกเกอร์แก่ๆคนหนึ่งก็รู้ตัวทันทีว่า นี่คือหน้าที่ที่ต้องเขียนบล็อกออกมา และมันมาพร้อมกับความรู้สึกหงุดหงิดปนสมเพชว่าเรายังต้องทำหน้าที่ในวันนี้ที่เรารู้สึกเหนื่อยอีกแล้วหรอวะ

 

Passion [N] กิเลส,
See also: ตัณหา, ราคะ, Syn. emotion, feeling, Ant. apathy

 

– 6 ปีก่อนหน้านี้ – ช่วงแรกที่ผมเริ่มต้นเขียน “บล็อก” ผมพบกับสายตาของใครหลายคนที่ตั้งคำถามว่า “มึงจะทำไปทำไม” และลามไปจนถึงการตบบ่าให้กำลังใจและไปพูดดูถูกลับหลังเป็นระยะๆ ซึ่งเอาเข้าจริงในวันนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะมาได้ไกลขนาดนี้ (ถ้ารู้ว่ามันจะมาถึงวันนี้ .. กูจะได้ตั้งชื่อดีๆหน่อย) และก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะ “ทำไปทำไม” แค่รู้ว่าเรา “อยากทำ” และพอมีความสามารถในระดับที่จะเริ่มต้นทำมันได้

– 6 ปีก่อนหน้านี้ – บนถนนสุขุมวิทเส้นเดิมที่ผมเคยขับรถกลับบ้าน เมื่อก่อนก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ เวลาที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เจริญขึ้นมากมาย ทั้งคอนโด ห้างสรรพสินค้า รถไฟฟ้า คอมมูนิตี้มอลล์ ร้านรวงต่างๆ อาคารสำนักงานก็เติบโตไปตามแต่ละวาระโอกาสของมัน

เสียงเพลงในรถจบลงแล้วเริ่มต้นวน Track ที่ 1 ใหม่ – 40 นาทีผ่านไป –  พร้อมกับความรู้สึกว่า “หน้าที่ใหม่” กำลังกวักมือเรียกให้ผมลงมือทำเมื่อกลับถึงบ้าน คือ การนั่งเขียนบล็อก Update ข่าวสารด้านภาษีให้ทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งในวันนี้ ผมก็ยอมรับกับตัวเองตรงๆ ว่าไม่ได้มีความรู้สึกดีๆที่ “อยากทำ” เหมือน 6 ปีที่แล้ว ส่วนคำถามว่า “ทำไปทำไม” นั้นก็เปลี่ยนเป็นคำถามว่า “ทำไมต้องทำ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

– เวลาสามทุ่มสิบห้า – คือเวลาที่ผมดับเครื่องยนต์ หยิบกระเป๋าแลปท็อปขึ้นมาสะพายบ่าด้านขวาแล้วเดินเข้าบ้าน แวะนั่งคุยกับแม่เพื่ออัพเดทข่าวสารและทักทายตามประสาลูก ก่อนที่จะขึ้นมาจรดนิ้วทั้งสิบที่ปุ่มคียบอร์ดในเวลาสี่ทุ่มตรง

– เวลาสี่ทุ่มสามสิบเจ็ด – “คุยไปพิมพ์ไปอีกแล้ว งานยุ่งใช่ไหม” เสียงปลายสายโทรศัพท์ถามคำถามเดิมๆ เมื่อได้ยินเสียงก็อกๆแก็กๆ ของนิ้วที่สัมผัสคียบอร์ดก่อนที่จะกล่าวคำว่าราตรีสวัสดิ์ เพื่อปล่อยให้ผมอยู่กับความเงียบเพียงลำพัง

– เวลาห้าทุ่มสามนาที – เป็นเวลาที่ผมโพสท์บทความลงแฟนเพจของตัวเอง แล้วลุกจากเก้าอี้ไปอาบน้ำ ก่อนจะมานั่งดู “การตอบรับ” ผ่าน Like Share Comment ด้วยความภาคภูมิใจของตัวเองที่ทำมันลงไปเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับรู้สึกถึงสัญญานความเจ็บป่วยที่มาเคาะประตูทักทายภายในหัวดัง ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ

– เวลาห้าทุ่มสี่สิบห้า – ก่อนที่จะล้มตัวนอนลงบนเตียงนอน .. ผมนึกถึงความหมายของคำว่า “Passion” และพบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนชีวิตผมเหมือนดังเช่น น้ำมัน ยาบ้า หรือสารกระตุ้นที่ทำให้เรามีพลังใจทำในสิ่งที่เรารักต่อไปได้ในวันที่เราเหนื่อยสายตัวแทบขาดใจอย่างที่ใครหลายคนว่าไว้

แต่สำหรับผมแล้ว “Passion” มันคือสิ่งที่เราตัดสินใจ “เลือก” ที่จะทำมันต่อไป แม้จะรู้ว่าทรมาน เหนื่อยยาก และต้องถูกเคี่ยวกรำจนชีวิตลำบากแค่ไหนก็ตาม บางครั้งมันอาจจะไม่จำเป็นต้องมีแรงบันดาลใจหรือกำลังใจจากใครสักคนมาขับเคลื่อนให้เปลืองความรู้สึก

และเหตุผลที่เราปล่อยให้ “Passion” มันทำร้ายเราได้ขนาดนั้น มันก็คงเป็นเพราะเราเองนั่นแหละที่บอกกับมันว่า “ยินดีที่จะตาย” เพียงแค่ขอให้ได้ลงมือทำมัน แม้ว่าจะไม่รู้เลยว่าชีวิตนี้จะสำเร็จจริงๆตามเป้าหมายได้หรือไม่

 

… และเมื่อนั้นเราถึงค่อยกล้าเรียกมันว่า Passion ได้เต็มปาก :)

-001 : เราอยู่กับมันไม่นานพอ หรือ เรารอมันจนเบื่อไปเอง?

 

1.

ในวันที่โปเกมอนโก

เริ่มหายไปจากนิวฟีดส์ของเฟสบุ๊ค

ผมหยุดถามตัวเองว่า

เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นมาแล้วกี่ครั้ง?

เกิดขึ้น – ดึงความสนใจ – เลือนหายไป

ใครบางคนอาจเข้าใจว่ามันคือ

“อนิจจัง – ทุกขัง – อนัตตา”

 

2.

20 กว่าปีก่อนหน้านี้

ผมขอเงินแม่ซื้อกีตาร์โปร่งตัวแรก

เดินแบกไปเรียนที่โรงเรียนดนตรีชื่อดัง

ติดต่อกันเป็นเวลา 4 เดือนกว่า

 

พอขึ้นเดือนที่ 5

กีตาร์ตัวนั้นถูกวางทิ้ง-พิงอยู่ข้างฝาผนัง

 

3.

ความสำเร็จในชีวิต

ล้วนต้องอาศัยความพยายาม

 

แต่ความพยายามเพียงอย่างเดียว

ไม่อาจทำให้เกิดความสำเร็จได้เลย

 

เราเห็นคนมากมายประสบความสำเร็จ

เรามองมุ่งไปที่ผลลัพธ์ที่ประทับใจ

แต่มองข้ามทางที่เดินผ่านมาไปหมดสิ้น

 

และคงไม่ได้แปลกอะไร

ถ้าใครสักคนถูกลืมเลือนไป

เพราะมีคนสำเร็จคนใหม่ขึ้นมาแทน

 

4.

เสพย์อะไรทุกคนเป็นแบบนั้น

อยู่กับคนแบบไหน จะได้อย่างนั้น

เราเป็นค่าเฉลี่ยของ 5 คนที่เราคลุกคลี

 

คำกล่าวดีๆเหล่านี้

ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้เดินไปต่อ

 

จนบางครั้ง…

เราลืมรอเพื่อหยุดดูความล้มเหลว

ราวกับทองคำเปลวแผ่นเล็กๆ

ที่ถูกแปะไว้เพื่อสัมผัสแต่ผิวเผิน

 

5.

โปเกมอนโก ค่อยๆ เลือนหาย

กีตาร์ตัวเดิมถูกเปลี่ยนสภาพ

กลายเป็น กล้อง กอล์ฟ แกดเจ็ท แฟชั่น

 

ส่วนความสำเร็จนั้น

คล้ายยังคงต้องการสิ่งขับเคลื่อน

 

ในขณะที่มิตรภาพของ 5 คน

ลืมเตือนให้เราจำกำพืดตัวเอง

 

และผมเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า

“ความครื้นเครงของการมีชีวิต”

-006 : “อัตตาและคุณค่า” ในคืนที่ผมถามตัวเองว่าเจอรักแท้แล้วหรือยัง ?

 

มันเป็นตอนเย็นหลังเลิกงานที่ฝนตกหนักกว่าที่เคย วันอังคารแบบนี้.. ฝนตก – รถติด – ชีวิตลำบาก และก่อให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดแกมรำคาญเมื่อได้ยินเสียงหยดน้ำที่ร่วงลงมาจากฟ้าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน

 

ผมยืนนิ่งๆ อยู่หน้าร้านตัดผมชายชื่อดังย่านสยาม พร้อมด้วยผมบนหัวที่ถูกเซตมาอย่างเรียบร้อย ถ้าใครบ่นว่าล้างรถแล้วฝนตก ความทุกข์ของผมคงมากกว่าพวกเขาตรงที่หัวของเราไม่มีรับประกันเซตใหม่ภายใน 24 ชั่วโมง

 

เสียงฝนตกหนักยามเลิกงาน เปรียบเหมือนสัญญาณที่ตอกย้ำความผิดพลาดในชีวิตของผมย้ำๆซ้ำๆ หลังจากที่ในวันนี้ต้องพบกับความผิดพลาดไปหลายเรื่อง เริ่มตั้งแต่ความตั้งใจแรกเริ่มว่าจะไปถ่ายรูปให้ – ครูเปิ้ล Mind Director – เพื่อนรักที่กำกับละครเวที “Love Game the Musical” ตอนทุ่มกว่าๆ โดยที่ทึกทักเอาเองว่า ทีมงานจะซ้อมกันที่โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ (ชั้น7 สยามสแควร์วัน) เหมือนกับวันแสดง แต่ความเป็นจริงคือซ้อมกันที่สตูดิโอย่านทองหล่อจ้า #เราคิดว่าควายน่ะควายแล้วแต่เราควายกว่า

 

เมื่อเข้าใจผิดไปตั้งแต่แรก แพลนที่วางไว้เพราะความคิดที่ว่า ไม่อยากเสียเวลาไปฟรีๆ ด้วยความที่ชีวิตในกรุงเทพเหมือนกับการแข่งขัน ทำอะไรต้องทำให้คุ้มตลอดเวลา และทุกๆวินาที ผมเลยตัดสินใจแวะมาตัดผมก่อน กะว่าเรียบร้อยก็จะไปโรงละครต่อแบบชิวๆ สรุปคือต้องเปลี่ยนแผนเป็นเดินตัวปลิวขึ้นรถไฟฟ้าไปทองหล่อซะงั้น ( – -“) และทั้งหมดนั้นคือสาเหตุที่ผมยังคงหงุดหงิดตัวเองอยู่เหมือนกับฝนที่ไม่หยุดตก

วันนี้ผมเห็นบทความเรื่อง “จุดอิ่มตัวของ Content Marketing บน Facebook” ถูกแชร์กันกระหน่ำมากมายวัวตายควายล้ม และมันคือบทความที่สะท้อนเรื่องจริงในยุคที่เรามีข้อมูลให้เสพจนล้นสมอง (Information Overload) แต่ยังคงมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่าเดิม เราจึงไม่สามารถยัดทุกอย่างเข้าไปในนั้นได้ทั้งหมด ถึงแม้หัวใจของเราจะต้องการแค่ไหน

บทเรียนของเรื่องนี้แปลว่าสิ่งที่เราต้องปรับตัวกันครั้งใหญ่สำหรับคนที่ใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือ คงไม่ใช่การสร้าง “ปริมาณ” หรือจำนวนผลงานออกมาให้มากขึ้น แต่คงต้องเป็นเรื่องของการ “คัดกรอง” และ “คัดสรร” เรื่องที่เราต้องการจะบอกให้โลกนี้รับรู้อย่างมี “คุณภาพ” มากขึ้นทดแทน และการแย่งชิงครั้ง “พื้นที่” ย่อมเกิดขึ้นวนเวียนไปไม่รู้จบ

 

สุดท้าย “คุณค่า” ก็ชนะเลิศครับ

พี่ที่ผมเคารพท่านหนึ่งพูดไว้แบบนั้น

 

ระหว่างที่กำลังใจลอยคิดเรื่องนี้อยู่ รู้สึกตัวขึ้นมาอีกที ผมกำลังเดินทางอยู่ในตู้โดยสารของรถไฟฟ้าที่ออกจากสถานีสยามไปทองหล่อ ด้วยสภาพที่เบียดแน่นยิ่งกว่าปลากระป๋อง ผสมผสานกับกลิ่นฝน กลิ่นเหงื่อ และความเหนื่อยหน่ายของคนหลายคนในรถไฟฟ้า ทำให้รู้สึกราวกับว่าบรรยากาศช่างชวนให้อึดอัดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

 

ในเมืองใหญ่แห่งนี้.. เราแข่งขันในทุกๆเรื่องจนเคยชิน ตั้งแต่แย่งกันกิน แย่งกันใช้ ร้านอาหาร ถนน ระบบขนส่งสาธารณะ พื้นที่ส่วนตัวต่างๆ ถูกบีบให้เล็กลงด้วยผลของการแย่งชิง ทุกวินาทีดูเหมือนจะมีค่า เพราะถ้าหากไม่ชนะขึ้นมาก็ดูเหมือนมันจะไร้ความหมาย แต่คิดอีกที เราจะเอาชนะคะคานกันไปทำไมในการใช้ชีวิตขนาดนั้น เพราะเราก็รู้กันดีว่ายิ่งรีบเร่งแค่ไหน บางครั้งก็ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรเร็วขึ้นกว่าเก่า

“สถานีทองหล่อ” เสียงสัญญานอัตโนมัติจากรถไฟฟ้าดังขึ้นบอกว่าผมไปถึงเป้าหมาย ลงจากสถานีไม่ทันไร น้องฝ้ายมายก็อดเนตไอดอลเจ้าของเพจเบียร์จ๋าฉันมาแล้วจ๊ะ ก็พูดแซวขำๆขึ้นมาว่า “โหยยพี่ .. แค่มาถึงก็เหนื่อยแล้วว่ะ กลับเลยดีกว่าไหม”

 

สายฝนที่สถานีทองหล่อไม่แตกต่างกับสถานีสยาม จนทำให้คำว่า “ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” กลายเป็นคำกล่าวอ้างที่เกินจริง เราสองคนตัดสินใจหาอะไรกินกันที่ปากซอย ก่อนที่จะเดินเข้าซอยไปที่สตูดิโอด้วยระยะทางประมาณ 500 เมตร

 

“พี่เอาถุงไหม” เนตไอดอลเจ้าเก่าเจ้าเดิม เพิ่มเติมคือยื่นถุงพลาสติกมาให้ ถ้าใครผ่านมาในช่วงนั้น คงได้เห็นบรรยากาศฝนพรำๆยามค่ำคืน ที่มีเด็กผู้หญิงหนึ่งคนถือร่มสีสดใส กับผู้ชายอีกหนึ่งคนที่มีถุงพลาสติกสีขาวคลุมหัว เดินเข้าไปยังสตูดิโอ พร้อมกับเสียงบ่นพึมพำไปตลอดทาง

 

ในแต่ละวัน เราตื่นแต่เช้าออกไปทำงาน พักเที่ยง ทำงานต่อ เลิกงาน กลับบ้าน วนเวียนหมุนเวียนไปปีแล้วปีเล่า เราทำงานได้มากขึ้น มีประสบการณ์และความรู้หลากหลายมากขึ้น รู้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องรู้เพิ่มขึ้น และลืมเรื่องบางเรื่องที่ควรรู้ไปโดยไม่รู้ตัว

 

เราบอกตัวเองว่าต้องรู้เพียงเพราะเราสนใจว่าเราอยากรู้หรือเปล่า เรื่องชาวบ้าน ข่าวสาร อาชญากรรม การเมือง เรื่องดารา หลอกลวง โป้ปดมดเท็จ เทคนิคการทำตัวให้อินเทรนด์เพื่อที่เราจะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโดยที่เราก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น

 

เราสร้าง “ความมีตัวตน” และค้นพบว่ามันคือ “อัตตา” ในการมีชีวิต ศักดิ์ศรี ความเคารพนับถือ ความเชื่อ ศรัทธา ตรรกะ หลอมรวมจนยึดติดว่ามันเป็นของเรา แต่เอาเข้าจริงเราต่างก็รู้อยู่แก่ใจว่า ไม่ว่าเราจะพยายามมีตัวตนแบบไหน แต่สิ่งที่ใช้ตัดสินตัวตนเรากลับเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้อย่างสายตาคนอื่น

 

น้องฝ้ายนำทางมาจนถึงสตูดิโอในเวลาประมาณ 2 ทุ่มนิดๆ เลทกว่าเวลาที่นัดไปประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ พร้อมด้วยเสียงบ่นของผมที่บอกว่า “น่าจะขับรถมา” กระปอดกระแปด

 

นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้เข้ามาดูการซ้อม “ละครเวที” แบบสดๆ เพราะโดยปกติแล้วในสายงานที่ทำอยู่คงไม่มีโอกาสแบบนี้ ถ้าไม่มีเพื่อนเป็นผู้กำกับละครเวทีอย่างที่เป็นอยู่ (อิอิ)

 

ถ้าจำไม่ผิด ผมได้มีโอกาสดูละครเวทีครั้งแรกประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว น่าจะเป็นเรื่อง บางกอก 2485 เดอะมิวสิคัล ที่ หอประชุมใหญ่, ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่มีเมืองไทยรัชดาลัย) และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีโอกาสได้ไปละครเวทีที่เป็น Musical บ่อยๆ จนมาช่วงหลังๆ 5 ปีที่ผ่านมานี้ ไม่มีเวลาไปดูเพราะเวลางานและข้อจำกัดชีวิตที่ขีดให้ตัวเอง บีบให้ต้องบริหารสมดุลของเวลาให้ดี

 

เมื่อก่อน ผมเคยสงสัยว่า “ทำไมบัตรละครเวทีมันแพงจังวะ” แต่เมื่อได้สัมผัสกับบรรยากาศของละครเวที ผมก็รู้ดีว่าต้นทุนของมันนั้นไม่ใช่น้อยเลย ทั้งนักแสดงทุกคนที่ต้องเป๊ะ (พลาดไม่ได้เพราะเล่นสด) เพลงประกอบ ฉาก คนทำงานเบื้องหลังและการเตรียมงานของมันก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ซึ่งถ้าลองหักลบคิดคำนวณออกมาแล้ว มันก็คุ้มราคาในระดับหนึ่ง ยิ่งถ้าหากคุณเป็นคนชอบงานประเภทนี้และสามารถจ่ายไปได้โดยที่ไม่มีปัญหา ผมก็แนะนำตรงๆว่ามันก็ไม่เสียหายอะไร (เพราะบางครั้งเราก็จ่ายเรื่องอื่นๆไปในราคาที่แพงกว่าเหมือนกันแหละ)

ผลงานละครเวทีหนึ่งเรื่อง กว่าจะมีภาพของความสำเร็จหน้าฉากออกมาได้งดงามขนาดนี้ หลายคนคงสงสัยว่าหลังฉากที่มีมันต้องวุ่นวายและเหนื่อยยากขนาดไหน นึกแล้วก็เหมือนกับเรื่องของความสำเร็จในชีวิตมนุษย์คนนึงที่มีแสงไฟสาดส่องให้คนมองเห็น แต่ก่อนที่ไฟจะฉายขึ้นมานั้น เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาผ่านอะไรมาบ้างขนาดไหน และสุดท้ายเมื่อไฟที่ฉายส่องนั้นดับลง เราจะยังคงจดจำเขาไว้ในลักษณะไหน

 

ในยุคที่เต็มไปด้วยความรีบเร่ง รวดเร็ว หลอมรวมกับความสำเร็จแบบว่องไว เราเห็นหลายคนเร่งส่องแสงไฟจนหลอดขาดแล้วระเบิดใส่หน้าแหกกันไปตามๆกัน เราเห็นไฟระยิบระยับแสบตากับความไม่พร้อมก่อนที่จะออกมายังหน้าเวที และเราเห็นสีหน้าแห่งความอับอายก่อนที่ไฟที่ฉายจะดับวูบลง

 

บางทีผมก็นึกสงสัยขึ้นมาว่า

ในชีวิตของคนเราทุกคนนั้น …

เราจำเป็นต้องรีบเร่งกันถึงขนาดนั้นเลยหรือ

ผมยืนกดชัดเตอร์อยู่มุมขวาของห้องแบบเก้ๆกังๆ แบบไม่รู้จะไปทางไหนดี มือขวาถือกล้องที่หยิบยืมมาทำให้ปรับตั้งค่าไม่ได้อย่างที่ใจคิดสักเท่าไร ทำให้ต้องหันหน้าไปถามฝ้ายมายก็อดเป็นระยะๆ

 

ระหว่างที่หันมองซ้ายขวาหามุมถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ความรู้สึกที่มองในฐานะคนนอกที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงาน มองเห็นความวุ่นวายของการยกฉาก ยกไฟ มองเห็นส่งอุปกรณ์ประกอบฉากไปๆมาๆ แน่ละ เพราะว่ามันคือการซ้อมตามปกติ ผมจึงไม่มีโอกาสเห็นแสงไฟสาดส่องไปที่นักแสดงแต่ละคู่แต่ละคน ตอนแรกก็ปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ค่อยได้ด้วยการที่มาสาย แต่ก็ใช้ความสามารถส่วนตัวพยายามที่จะปนตัวเองเข้าไปดูเนื้อเรื่องให้เข้าใจในที่สุด (นี่คงเป็นความสามารถพิเศษที่เราชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านแน่ๆ)

 

Love Game The Musical เป็นละครเพลงแนวใหม่ในสไตล์โมเดิร์น เรื่องราวของหนุ่มสาวสามคู่ที่เกิดจากการความต้องการแข่งขันด้านความรัก เพื่อให้ได้รับชัยชนะทางความรู้สึกในสังคม จนเกิดเรื่องสนุกสนานและวุ่นวายตามมา ถ้าใครสนใจเรื่องราวต่อจากนี้ ลองอ่านรายละเอียดได้ที่นี่ครับ ก๊วนคานทอง Love Game The Musical

 

เรื่องราวในละครเวทีเรื่องนี้สะท้อนถึงความรัก ในแง่มุมของความพยายามที่จะมี “รัก” เพื่อให้เกิด “ชัยชนะ” ในเกมส์ๆ หนึ่ง แต่ดูละคร (เวที) แล้ว เราลองย้อนมาดูชีวิตจริงของตัวเองว่า “ความรักของเรากำลังทำให้เกิดทุกข์อยู่หรือเปล่า” ผมนึกถึงเรื่องของความสำเร็จในชีวิตคู่ที่ทุกคนต้องมีตามครรลองขึ้นมา เรียกได้ว่า ตาม Step ที่เราชอบสงสัยเรื่องของชาวบ้าน เอ๊ะ คู่นี้.. จีบกันหรือเปล่า เป็นแฟนกันหรือยัง แต่งงานเมื่อไร ทำไมยังไม่มีลูก คำถามคลาสสิกที่วนเวียนซ้ำๆ ราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำเหมือนกับการแปรงฟันวันละ 2 ครั้งหลังอาหาร

 

แต่คำถามจริงๆ คือ ความรักของเรามันควรเป็นแบบนั้นหรือ ? ความรักไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจเหมือนฝนในหน้าแล้ง หรือควรเป็นเหมือนแดดอ่อนๆฉายมา ยามที่ฝนหนักๆได้ผ่านพ้นไป

 

ความรักที่ดี

ควรทำให้หัวใจของเรารู้สึกถึงคุณค่าของการมีชีวิต

มากกว่าการถูกลิขิตว่า

ต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ตามที่ “สังคม” ต้องการ

 

ตัวตน อัตตา ที่มันมากเกินความจำเป็น (แน่ละส่วนนึงสังคมเข็นและผลักไสให้เราเป็นแบบนั้น) และอีกส่วนนึงมันคงมาจากความต้องการที่จะทำให้คนที่เรารักเป็นไปอย่างที่ตั้งใจ ทำไมเธอไม่เหมือนคนอื่น ทำไมชีวิตเราไม่ชื่นมื่นกับความผาสุกเหมือนที่ควรจะเป็นตามที่เห็นในสังคม

 

เรากำลังติดบ่วงอยู่กับ “ความพยายาม” ทำทุกอย่างให้ดีแบบสุดๆทาง จนลืมไปว่า ชีวิตคนเรานั้นไม่สามารถควบคุมอะไรได้ตามใจ ขนาดนั้นหรอก ผมเชื่อว่าคนที่มีความสุขในชีวิตนั้น เขามองเห็นสิ่งที่ควรทำ และ สิ่งที่ต้องทำ ของตัวเอง ได้อย่างชัดเจน มากกว่าการวนเวียนหมุนเวียนกับความพยายามเหล่านั้นปีแล้วปีเล่า จนสรุปสุดท้ายแล้วเราอาจจะลืมถามตัวเองไปว่า ที่มีความสุขอยู่ทุกวันนี้ มันคือความสุขจริงๆ หรือมันเป็นความรู้สึกที่ต้องมีความสุข

กล้องทำหน้าที่ของมันต่อไป ส่วนผมก็ทำหน้าที่กดรัวๆ ไม่ให้เสียดายเวลาที่มาทำหน้าที่ ผมมองเห็นนักแสดงหลักซ้อมกันอย่างขะมักเขม้น สลับกับภาพของนักแสดงประกอบ ผู้กำกับ คนควบคุมการแสดง และเสียงเพลงประกอบ หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไป

 

พวกเขาเหล่านี้มีเป้าหมายเดียวกันคือการตั้งใจทำงานในช่วงระยะเวลาหนึ่งร่วมกันให้ดีที่สุด ผมสัมผัสได้ถึงพลังแบบนั้นจากการนั่งมองอย่างไร้ตัวตน สลับกับการหมุนวนเดินไปกดชัดเตอร์ที่อีกมุมหนึ่งของห้อง หลังจากองก์แรกของการซ้อมได้จบลง

 

ระหว่างการซักซ้อม ผมมองเห็น พวกเขาเล่นละครเวที ราวกับมีเพียงแต่พวกเขา ทั้งๆที่รอบๆนั้นเต็มไปด้วยผู้คนเดินไปเดินมา การผลัดเปลี่ยนฉาก เสียงหัวเราะ การตัดเข้าเพลง ฯลฯ หรือแม้แต่เสียงชัตเตอร์ของผมบางครั้งที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ก็ไม่ได้ทำให้สมาธิหลุดแต่อย่างใด

 

….หรือนี่คือโอกาส

ที่สอนให้ผมเข้าใจในเรื่องการ Focus ในสิ่งที่เราทำแบบจริงจัง

“กลับยัง รถไฟฟ้าจะหมดแล้ว”

“แต่อีกเดี๋ยวก็ได้มั้ง ใกล้จะจบแล้ว”

ห้าทุ่มเศษๆ ผมเหลือบดูข้อความจาก Facebook Messenger สลับกับฉากสุดท้ายของละครเวทีที่เต็มไปด้วยความสุข ภาพของงานแต่งงานที่พวกเขาร้องเล่นเต้นกันอย่างสนุกสนาน สลับกับเสียงหัวเราะที่ทำให้รู้สึกตรงกันข้ามกับความสดใสในช่วงเวลาที่กำลังจะเดินเข้าสู่วันใหม่อีกไม่นาน

 

ละครจบแล้ว ผมรีบเดินออกมา พร้อมกับน้องฝ้ายคนเดิม เพิ่มเติมคือรถไฟฟ้าใกล้หมด ส่วนการซ้อมนั้นยังดำเนินต่อไปในช่วงสุดท้าย นักแสดงและทีมงานยังคงต้องประชุมกันต่อไปเพื่อปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น

 

แน่ล่ะว่าการซ้อมวันนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา แต่ผมเชื่อว่ามีใครหลายคนกำลังเฝ้าคอยดูสิ่งที่ดีที่สุดในวันแสดงจริงอีกครั้งหนึ่ง

ระหว่างยืนคอยรถไฟฟ้ารอบสุดท้ายเพื่อนั่งกลับจากทองหล่อไปสยาม ผมถามตัวเองสั้นๆหลังจากการซ้อมละครเวทีเรื่องนี้จบลงว่า ตกลงแล้ว “รักแท้มีจริงไหม ?”

 

เมื่อพูดถึงคำว่า “ความรัก” เราทุกคนล้วนรู้สึกกับคำๆนี้ต่างกัน บางคนอาจจะรู้สึกสวยงามมันเหมือนอยู่ในความฝัน บางคนอาจจะรู้สึกว่าเหมือนกับมันไม่เคยเกิดขึ้น บางคนรู้สึกทุกข์ สุข และเหนื่อยเพราะความรัก แต่เชื่อเถอะว่า เราทุกคนล้วนต้องการความรัก อาจจะเพราะเราใช้ความรู้สึกของหัวใจมากกว่าสมองกับสิ่งนี้มาตั้งนานแล้ว

 

สุดท้ายแล้วผมได้คำตอบให้ตัวเองว่า ความรักมันคงไม่ได้เกิดมาเพื่อให้เราตั้งคำถาม แต่มันเป็นคำตอบที่สอนให้เราเรียนรู้และอยู่กับมันเพื่อใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆบนโลกนี้

“สถานีสยาม” ฝ้ายมายก็อดโบกมืออำลาก่อนจะเปลี่ยนเส้นทางไปยังสายสีลม ส่วนผมก็เดินเงียบๆผ่านความมืดในสยามแสควร์เพื่อไปยังที่จอดรถตรงตึกด้านหลังเพื่อขับรถกลับบ้านให้ได้นอนในวันที่ยาวนานแบบนี้เสียที

 

ระหว่างที่เดินไปที่รถ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความใน Facebook เช็ค Notification ที่เข้ามา สอดส่องเรื่องชาวบ้านอีกเล็กน้อย ก่อนจะปิดหน้าจอในโลกออนไลน์ลงไป และกดโทรศัพท์หาใครคนหนึ่งในเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ

 

สำหรับคนปกติ เวลานี้คงไม่เหมาะที่จะคุยโทรศัพท์สักเท่าไร

และผมมั่นใจว่าใครคนหนึ่งกำลังรอโทรศัพท์สายนี้ของผมอยู่

… ด้วยความรู้สึกเล็กๆที่เรียกว่า “ความรัก” …

 

 

-013 : เราไม่ได้หยุดแค่ถูกใจ… เพราะมันมีอะไรให้แสดงความรู้สึกมากกว่านั้น

ในที่่สุด ปุ่ม Reactions ของ Facebook ก็ได้เพิ่มเติม “ความรู้สึก” ที่มีมากกว่า “ถูกใจ” ให้กับเราจนได้ โดยมีทั้ง ตลก โกรธ เศร้า ประหลาดใจ รัก …

 

ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เริ่มมีหลายคนแสดงความรู้สึกกันอย่างสนุกสนานต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจการตลาด ผมคิดว่านี่อาจจะเป็นโอกาสในการตรวจสอบ ฐานแฟนคลับ หรือคนที่มีความสัมพันธ์กับคุณ โดยเฉพาะเจ้าของเพจอาจจะใช้ในการวิเคราะห์ลูกเพจต่างๆที่กดอะไรมากกว่าปุ่ม “ถูกใจ” ซึ่งส่งผลกับการต่อยอดอะไรบางอย่างไปในอนาคตที่มีต่อแบรนด์ หรือต่อเจ้าของแฟนเพจ

 

ในฐานะที่เป็นผู้ใช้เอง การแสดงความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนๆ หรือคนรอบข้างได้หลากหลายมากขึ้น เราคงได้มีโอกาสกดปุ่มแสดงความเสียใจ “เศร้า(Sad)” ได้อย่างถูกกาลเทศะ เมื่อได้รับทราบถึงการสูญเสียจากสถานะของใครบางคนบน News Feed

 

หากมองออกไปเพื่อเปรียบเทียบระหว่างโลกออฟไลน์กับโลกออนไลน์ เราจะเห็นว่า “ความรู้สึก” เป็นเรื่องที่สำคัญมากขึ้น แม้แต่ในโลกออนไลน์ก็ตาม เริ่มตั้งแต่ ทำไมถึงไม่กด Like ให้ ทำไมถึงอ่านแล้วไม่โหวต หรือแม้แต่ทำไมเธอถึงไม่ Tag ขอบคุณชั้น บลาๆๆ มากมาย ที่ส่งผ่านความรู้สึกของคนเราในโลกออนไลน์มาให้อยู่ในโลกออฟไลน์หรือชีวิตจริง

 

ส่วนหนึ่งแสดงให้เราเห็นถึงความผูกพันและความสำคัญ และมันกำลังหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งกับชีวิตเรามากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น ซึ่งผมก็ไม่สามารถบอกได้หรอกครับว่า การหลอมรวมนั้นมันเป็นเรื่องที่ดีหรือร้ายกันแน่

 

ผมสังเกตเห็นว่า คนกลุ่มหนึ่งเริ่มรู้สึกว่า เราแสดงความเห็นกันมากขึ้น เราทุกคนแชร์กดไลค์ตามกระแส ติดตามข่าวสารดังชั่วข้ามคืน เพื่อให้คนอื่นรู้สึกว่าเรารู้ ซึ่งมันก็จะผ่านมาแป๊บเดียวแล้วก็ผ่านไป แต่เอาเข้าจริงการแสดงความเห็นแบบนั้นก็ไม่สามารถทวนกระแสของการแสดงความคิดเห็นอันเชี่ยวกรากบนโลกออนไลน์ไปได้เช่นเดียวกัน

 

ยิ่งเกิดความเสมือนมากขึ้นเท่าไร เราก็ยิ่งเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เราลืมไปก็คือ เราอาจจะไม่รู้เลยว่า ความจริงที่เราจับต้องอยู่นั้น มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่ไม่จริงบนโลกออนไลน์ ที่มันควรจะสลายหายไปในชั่วพริบตาที่เรากลับมาสู่ความเป็นจริง

 

เพราะมันเหมือนจริงเกินไปหรือเปล่า เราจึงกล้าที่จะตัดสิน ฟันธง ก่นด่า เหมารวมและนินทาว่าคนเหล่านั้นเป็นอย่างไร เป็นแบบไหน และไปรู้สึกรู้สากับการกระทำของเขาจนเกิดเหตุ ทั้งๆที่จริงแล้วเขาไม่ได้รู้สึกและสนใจอะไรเราเลย

 

เพราะมันเป็นเพียงออนไลน์หรือเปล่า เราจึงกล้าที่จะแสดงความเห็น คอมเม้นท์ ด่าด้วยคำแรงๆ กดอันฟอลโลว์ กดอันเฟรนด์ บล็อค ไปจนถึงรีพอร์ทพวกเขา เพียงแค่ว่าเขาไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่เราต้องการเท่านั้น

 

เราลืมไปแล้วว่าโลกออนไลน์กลับกลายเป็นโลกจริง ว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นแบบนั้นจริงๆ ในขณะเดียวเราก็ลืมไปแล้วว่าโลกจริงมันก็สามารถปั้นแต่งสิ่งที่โกหกหลอกลวงได้เช่นเดียวกัน คำพูด การกระทำ จิตใจ หรือแม้แต่สิ่งที่เรามองเห็นด้วยหัวใจ ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงจากใจของเขาคนนั้น

 

โลกออนไลน์ไม่ได้บอกอะไรเรา โลกจริงก็ไม่ได้บอกอะไรเรา แต่ความเสมือนจริงที่กลมกลืนบนสองโลกนี้ทำให้เราเห็นว่าสิ่งที่เราเห็นกลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การแสดงออกคือสิ่งที่เป็นจริง และการตัดสินคือสิทธิอันชอบธรรม

 

เราให้ความสำคัญกับความรู้สึก

เพราะเราลืมไปว่ามันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

 

และเราก็เชื่อมั่นในตัวเองว่า

เราสามารถฉุดรั้งและยึดมันไว้ได้ตลอดไป

 

ป.ล. ทั้งหมดนี้ผมเขียนมั่วๆนะครับ ลองทำตัวฉลาดบ้าง เผื่อว่าจะดูฉลาดขึ้น :)

 

 

-015 : ไม่ว่าคุณจะเข้าใจจิตใจมนุษย์สักแค่ไหน ก็ไม่ควรไปยุ่งเรื่องความรักของคนอื่น

 

 

หน้าที่ของที่ปรึกษาที่ดีควรเป็นแบบไหน ?

ผมมักนั่งคิดอยู่เงียบๆ และถามตัวเองหลายครั้งเวลาที่ได้รับฟังปัญหาความรักของคนอื่น เราควรจะแนะนำอย่างไรดีนะ ปลดปล่อยความคิดของตัวเองไปให้สุดๆอย่างที่เรามองเห็นและวิเคราะห์ว่ามันควรจะเป็น หรือ นั่งเงียบๆให้กำลังใจในสิ่งที่เขาเป็นอย่างตั้งใจโดยไม่ต้องมีคำตอบ

 

ความรักมันเป็นเรื่องแปลกแสนแปลก เพราะบางครั้งสิ่งที่คุณคิดด้วยเหตุผลและวิเคราะห์ด้วยหลักการ กลับทำให้หัวใจและอารมณ์ของคุณกลายเป็นคนที่ไร้วิญญานในที่สุด

 

“มึงคงมองความจริงมากไปมั้ง ?” มิตรสหายท่านหนึ่งกล่าวปนสมเพชเบาๆ เวลาที่ผมเอาเรื่องคู่รักที่มีปัญหาไปเล่าให้ฟังในบทสนทนา พร้อมกับอธิบายแนวทางแก้ไขเป็นฉากๆ ราวกับตัวเองเป็นผู้รู้ปรมาจารย์ด้านความรัก ทั้งที่ในชีวิตนั้นผ่านพ้นมาเพียงนิ้วมือข้างเดียว

 

“ต่อให้ทฤษฏีกูถูกแค่ไหน ยังไงกูก็กลายเป็นหมาทุกที” ผมกล่าวด้วยเสียงหัวเราะปนสังเวชเบาๆ เวลาที่รู้ว่าผู้ปรึกษาเอาความเห็นของผมไปบอกเล่าให้ “คู่” ของเขาฟัง

 

เมื่อก่อนผมเป็นพวกที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอ จะเรียกว่า Self Center ก็ได้ เพราะไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร ปัญหาแค่ไหน ผมก็สามารถฟันธงจัดการให้มันจบไปได้ง่ายๆ พร้อมกับกลยุทธ์และวิธีการที่จะทำให้คนทั้งสองดำเนินการอย่างที่มันควรจะเป็น

 

แต่ความเป็นจริงที่ตอกย้ำผมจนได้สติ คือ “เรามีสิทธิอะไรไปสั่งให้เขาเป็นอย่างที่เราต้องการ” กับ “เมื่อคนรักคืนดีกัน ทฤษฏีสร้างสัมพันธภาพกลับตกมาซวยที่กู”

 

เมื่อเกิดความผิดพลาด ทั้งสองต่างมองหาว่าใครเป็นคนผิด แต่เมื่อปรับความเข้าใจได้ คนสุดท้ายอย่างที่ปรึกษานีี่แหละที่แม่งผิดเสมอ … ผิดทั้งเป็นคนที่ “เสือก” เรื่องชาวบ้าน และผิดทั้งเป็นคนที่ “สันดาน” เสียอยากเห็นผัวเมียเขาเลิกกัน

 

เมื่ออายุอานามและประสบการณ์ในการปรึกษาแก่กล้าขึ้น.. ผมจึงกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าที่จะให้คำปรึกษาใครนัก หรือถ้าให้ก็คงต้องบอกว่า “ลองไปคิดก่อนนะ” หรือ “พี่มองแบบนี้” ให้เหมือนเป็นการป้องกันตัวกลายๆ ว่า “อย่ามาโทษกูน้าาา”

 

บางครั้งเราให้คำปรึกษา

เพราะเราอยากเห็นชีวิตใครสักคนนั้นดีขึ้น…

อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ไอ้ที่ว่านั่นแหละ ทำให้ผมรู้ว่าการเป็นที่ปรึกษาความรักที่ดี ไม่ใช่การชี้ว่า คนนู้นผิด หรือ ควรทำแบบนั้นแบบนี้ แต่มันเป็นการยิ้มให้แล้วบอกว่า “เธอยังมีฉัน” อยู่ข้างๆ และเมื่อไรที่รู้สึกอ้างว้างก็แวะมาได้ละกัน

 

หรือถ้าหากสามารถให้ความเห็นได้ ก็จงให้ความเห็นแบบกลางๆ ที่ไม่ใช่มั่นอกมั่นใจว่ามันต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้ หรือควรทำแบบนู้นนั้นนี้เลย รับรองพูดยังไงก็ไม่มีทางเวิร์ก

 

เพราะถ้าการให้ปรึกษา เพราะอยากเห็นใครสักคนดีขึ้น

แล้วเค้ามองเราเป็นหมาในภายหลัง มันก็เจ็บช้ำไปหนึ่งดอกฟรีๆ

ถ้ายิ่งมองเราไม่ดี แล้วชีวิตเราชิบหายตาม แบบนั้นลามปามหนักกว่าเก่า

 

สุดท้ายแล้วจนถึงวันนี้ ผมก็ยังมีคนมาปรึกษาอยู่เรื่อยๆ แหละฮะ อาจจะไม่มากเหมือนก่อนด้วยภาระหน้าที่ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมมีและเชื่ออยู่เสมอในการให้คำปรึกษาก็คือ การทำให้เขาเจอคำตอบของเขาเอง

 

ถึงแม้คำตอบนั้นจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด

แต่ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วมนุษย์ทุกคนต้องเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง

 

 

-016 : 1 ปีที่ผ่านมา… กับบทสัมภาษณ์ที่ไม่เคยมีใครได้อ่าน

 

บทสัมภาษณ์นี้เป็นบทสัมภาษณ์ที่ผมถูกถามไว้เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ผมเอากลับมาเรียบเรียงใหม่ด้วยตัวเองอีกครั้งและลงเป็นที่ระลึกไว้ในที่นี้ เพราะบทสัมภาษณ์ฉบับนี้คงไม่ได้ถูกตีพิมพ์อีกแล้วครับ

Q : แนะนำตัวหน่อยครับว่าพี่เป็นใครมาจากไหน ?

 

สวัสดีครับ พี่ชื่อ “หนอม” ครับ ถนอม เกตุเอม เจ้าของเพจ TAXBugnoms เป็นบล็อกเกอร์ด้านภาษีและการเงิน วิทยากร นักเขียน อาจารย์พิเศษ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต แล้วก็เป็นข้าราชการในหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งครับ

 

จบการศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโทด้านบัญชีครับ แล้วประกาศนียบัตรด้านภาษีอากร ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา เคยทำงานเป็นผู้ช่วยผู้สอบบัญชีอยู่ที่สำนักงานสอบบัญชีแห่งหนึ่งครับ  แล้วก็เคยทำธุรกิจบ้าๆบอๆมากมายตั้งแต่ขายตรงไปจนถึงทำเว็ปไซต์ครับ

Q : พี่มาเริ่มทำเพจ Taxbugnoms ได้ยังไงครับ

 

มันเริ่มมาจากตอนที่ตัวเองลาออกจากงานด้านสอบบัญชี มาเป็นข้าราชการ ตอนนั้นก็รับทำงานหลายแบบ ทั้งพวกพวกโปรโมทเวปไซด์ รับทำปรับแต่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ติดอันดับกูเกิ้ล (SEO) ทำพวก Affiliate ต่างๆ แล้วก็ได้มีโอกาสมาเรียนปริญญาโทด้านบัญชีที่จุฬา โดยมีวิชาหนึ่งชื่อว่า “บัญชีภาษีอากร” ทีนี้ที่เรียนปริญญาโทอยู่มันจะมีเพื่อนๆแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆ ช่วยกันถอดเทปออกมาเป็นชีทไว้อ่านสอบ ช่วยๆกันสรุปข้อมูลอะไรแบบนี้

 

ตอนนั้นเราก็ทำงานที่เกี่ยวกับด้านภาษีอยู่แล้ว เราก็เห็นว่าเรามีข้อมูลตรงนี้ เราทำเวปไซต์เป็นด้วย และตอนนั้นมันยังไม่มีใครทำเรื่องพวกนี้เลย เราก็สงสัยว่า เออ… แล้วทำไมไม่มีใครพูดเรื่องภาษีง่ายๆวะ เพื่อนๆ หรือคนรู้จัก เวลามีปัญหาภาษีอะไรก็มักจะโทรมาถามตลอด ตอนนั้นรู้ตัวเองนะว่าไม่ได้เก่งเรื่องภาษีมากหรอก แต่ว่าโอเคเรียกว่าพอรู้เรื่อง พอมีความเข้าใจในระดับนึง

 

ทีนี้.. พอได้โอกาสลงมือทำ มันก็เหมือนกันเอาความรู้มาพัฒนาตนเอง เลยทำ Blog ชื่อว่า “บล็อกภาษีข้างถนน” (tax.bugnoms.com) ข้อมูลในการทำเวปไซด์ตอนแรกก็เอามาจากไฟล์ที่เพื่อนๆถอดเทปมานี่แหละ เอามาเขียนใหม่ให้มันเป็นภาษาตัวเอง ตอนแรกก็ยังเป็นภาษาทางการอยู่แหละ

 

แรกๆที่ทำบล็อกเนี่ย ไม่มีคนดูเลย คนเข้ามาวันละ 10 – 20 คนเองมั้ง ผ่านไปประมาณ 2 ปี เราก็เริ่มมาทำ Facebook Fanpage ขึ้นมาในชื่อ TAXBugnoms นี่แหละ ตอนนั้นได้ทางเพจ Thailand Investment Forum มาช่วยแนะนำ ซึ่งมันก็เกิดจากความหน้าด้านของเราเองนี่แหละ เราส่งข้อความไปทาง Message แนะนำตัวกับทางพี่เค้าว่า ”ผมกำลังทำเพจชื่อนี้อยู่ครับ มีรายละเอียดยังงี้ๆๆๆ ถ้าสนใจและคิดว่าดี ผมอยากให้พี่แนะนำให้หน่อยครับ (คือหน้าด้านมากเลยกูเนี่ย)”

 

หลังจากนั้นพี่เค้าก็ตอบกลับมา และช่วยแนะนำให้ ตอนนั้นจำได้ว่ามีคนกด Like เพจอยู่ประมาณ 800 คนได้ พอพี่เค้าแนะนำเพจให้ก็ขึ้นมา 2,000 กว่า ๆ เรานี่แบบโคตรดีใจชิบหายเลย คิดว่าสุดยอดแล้วนี่ชีวิตกู ประสบความสำเร็จมากๆแล้วในตอนนั้น (หัวเราะ)

 

ทีนี้พอเริ่มมีคนรู้จักเพิ่มขึ้น มีคนช่วยแนะนำเพจเพิ่มขึ้น อย่างจ่าพิชิต Drama-Addict ก็เคยช่วยเหลือ มันก็เลยมีคนเข้ามาถามคำถามบ่อยขึ้น จนรู้แล้วว่าอ้อมันมีแนวทางหรือเรื่องที่อยากรู้แบบไหน เราก็เขียนบล็อกเพิ่มใส่สไตล์ของตัวเองเข้าไปมากขึ้น

 

ประกอบกับ ช่วงนั้นก็เริ่มมาสนใจด้านการลงทุนพอดี (ประมาณ 3-4 ปีก่อน) คือ เริ่มลงทุนมาได้สักพักก็เลยแชร์ประสบการณ์ความรู้ด้านการลงทุนของตัวเองแบบผิดๆถูกๆ หมายถึงเรื่องที่เราผิดพลาด หรือเรื่องที่เราทำได้ เพราะเรามองตัวเองเสมอว่าเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เราเป็นเหมือนกับชาวบ้านที่คิดลงทุนเหมือนๆกันแต่แค่มาแชร์ประสบการณ์ให้คนมีความสนใจมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเราก็ใช้เงินแบบว่าแย่มาก

 

Q : เล่าเรื่องนี้ให้ฟังหน่อยครับ ที่บอกว่าใช้เงินแย่มาก

 

คือตอนแรกทำงานเอกชนได้เงินเดือนสูงสุดตอนนั้นประมาณ 3-4 หมื่นบาท และให้ที่บ้านประมาณ 2 หมื่นบาท ส่วนเงินที่เหลือทั้งโอที ค่าจ็อบอะไรพวกนี้เราเอามาใช้หมดเลย ตอนนั้นแฮปปี้สุดๆ เราคิดว่าโคตรรวยเลย เรียกได้ว่า อะไรที่อยากได้ เราซื้อหมดเลย โคตรเปลืองเลยครับ

 

เรื่องกินก็เหมือนกันต้องกินหรู กินข้างถนนไม่ได้ มันร้อนต้องเข้าห้าง ตอนนั้นเราทำงานแถวๆย่านกลางเมือง เราก็กินทุกวันแหละ ของดี สิ้นเดือนก็หมดตัว แต่ว่าไม่รู้สึกอะไร แต่พอเวลาผ่านไปเราก็เริ่มมองเห็นว่า เฮ้ย แล้วทำไมคนอื่นมีเงินทำไมเราไม่มีเงิน (อ้อ..เพราะเค้าเก็บเงินไง)

 

เราก็เริ่มมาบริการจัดการชีวิตใหม่ เริ่มบริหารเงิน จัดการชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นตามความสามารถ ยิ่งพอย้ายมาทำราชการ เงินเดือนละฮวบเหลือไม่ถึงหมื่น มันยิ่งตอกย้ำว่า เฮ้ย …เราต้องรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว

 

Q : แล้วแบบนี้พี่ไม่ลำบากหรอครับ ?

 

มันถือว่าเป็นเรื่องโชคดีอยู่อย่างหนึ่งที่ว่า ต้นทุนทางบ้านของเราโอเค มีฐานะในระดับหนึ่งไม่ได้ลำบากที่เราต้องไปช่วยเหลือ ขอแค่อย่างนึงที่เราเตือนตัวเองเสมอก็คือ อย่าไปทำให้เค้าต้องลำบากเพราะเรา ดังนั้นเราก็ควรรับผิดชอบตัวเองบ้าง อย่าสปอยตัวเอง ถ้าเค้าถามว่ามีเงินไหม เราก็บอกมีเงิน ถีงไม่มีเงินเราก็บอกว่ามี พยายามหาเงิน หารายได้อื่น จัดการชีวิตตัวเองไม่ให้ต้องพี่งใคร แล้วก็จะได้กลับไปดูแลเขาได้บ้าง จำได้ว่าตอนนั้นก็ไม่ซื้ออะไรเลย ข้าวเช้ากินบ้านข้าวเย็นก็กินบ้าน

 

หลังจากทำราชการชีวิตก็เปลี่ยนเลย แต่ก่อนไอ้ที่กินนู่นนั่นนี่ไม่ได้ กระแดะคิดว่าตัวเองเป็นคนเจ๋ง คนคูล พอไปอยู่อีกสังคมหนึ่ง เราสำนึกเลยว่า เฮ้ย … บางอารมณ์เงินแม่มไม่ใช่คำตอบ บางคนเขามีความสุขมากกว่าคนมีเงินเยอะๆเสียอีก เราเลยนึกได้ว่า โอเค.. เงินมันไม่ได้สำคัญกับชีวิตมาก ถ้าหากเราบริหารจัดการเงินเป็น สุดท้ายมันก็ค่อยๆเปลี่ยนตัวเรามาให้จัดการชีวิตตัวเอง เริ่มมาทำงานเขียน หาความรู้ ทำเพจอย่างที่เล่าไป … จนมาถึงทุกวันนี้

Q : ตอนนี้พี่ทำเพจมาประมาณ 5 ปีแล้วพี่ได้อะไรบ้าง ?

 

อย่างแรกที่แน่ๆ คือความรู้เพิ่มขึ้น อย่างที่บอกว่า แต่ก่อนตัวเองก็อาจจะพอรู้เรื่องของภาษีแต่มันก็เป็นในระดับของคนที่เรียนทฤษฏีมา แต่พอมาทำเพจด้านนี้ เราจะได้ความคิด มีคนมาแชร์ ได้เปิดกะโหลกมากขึ้น

 

อย่างที่สองคือ ได้รู้จักคนมากขึ้น ซึ่งมันเป็นอะไรที่ตลกมาก ต้องเล่าก่อนว่าเมื่อก่อนเป็นคนที่แบบอินดี้มาก คือไม่ชอบรู้จักคน ไม่อยากรู้จักใคร ไม่ชอบเจอคน ไม่ชอบคุยกับใคร ไม่ชอบไปทำความรู้จักคน เรื่องเยอะมากกกกก แต่พอมาทำเพจ ทำให้เราต้องรู้จักคน และการรู้จักมันทำให้มีโอกาสเข้ามา จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งมีคนเรียกไปพูด ตื่นเต้นมาก เมื่อก่อนเป็นคนที่พูดไม่เป็นเลย อายมาก เป็นพวกเล่นมุขขำๆอยู่ในหมู่เพื่อนฝูง แต่พอออกไปข้างนอกก็จะเงียบๆกลัวๆ

 

ทีนี้มีคนจ้างไปพูด ครั้งนั้นมันเลยเปลี่ยนชีวิตเราเลย คือไอ้ความกลัว ความไม่ชอบมีนะ มีเยอะด้วย แต่คิดอย่างเดียวว่า ถ้าหากวันนี้ไม่กล้าเริ่มออกไปซักครั้ง เราก็คงไม่ได้ก้าวอีกแล้ว ก็เลยตัดสิน เอาวะ!! ไปก็ไป

 

ถามว่าดีไหม เราเชื่อว่า มันดีที่สุดแล้วนะ ณ ตอนนั้น กลับมานั่งถามตัวเองว่า เฮ้ย กูพูดได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ แถมแม่งยังได้เงินมาด้วย มันก็เริ่มเปลี่ยนทัศนคติตัวเองไป

Q : พี่มองตัวเองในอีก 2-3 ปีข้างหน้ายังไงบ้างครับ

 

คร่าวๆที่วางไว้ คงจะต้องเชี่ยวชาญภาษีมากขึ้นนะ คือ พอปีนี้ (2015) มาได้ร่วมงานกับ Aommoney เราก็จะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ Aommoney จะเป็นความรู้สำหรับคนที่เป็นมือใหม่ถึงระดับกลางในเรื่องของภาษี แต่บล็อกที่เราเขียนอยู่เดิม จะทำให้มันเป็นเรื่องที่ยากขึ้น มีการวิพากษ์วิจารณ์แนวคิดทางด้านภาษีให้ชัดเจนมากขึ้น

 

ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็คงเหมือนเดิมนะ เราว่าสิ่งสำคัญไม่ใช่หาอะไรเพิ่มในวันนี้ แต่เป็นการเหลาอาวุธที่เรามีให้มั่นคงจะดีกว่า ถ้าอาวุธที่เรามีมันดีพอ มันจะช่วยต่อยอดให้เราเก่งขึ้น และมันจะพาไปสู่ด้านอื่นเอง

Q : พรี่หนอมคิดว่า เราควรคิดถึงคนอื่นตอนไหนครับ หมายถึงในแง่การช่วยหรือให้ความรู้คน คนที่จะสอนคนอื่นได้ จำเป็นต้องสำเร็จมาก่อนแล้วหรือเปล่า

 

มันมี 2 มุมมองนะ มุมแรก.. คนเราจะคิดถึงคนอื่นตอนที่ตัวเองมีพร้อม กับอีกมุม คือ คนเราคิดถึงคนอื่นตอนที่เราอยู่ระหว่างทางเดิน แต่ว่าคุณก็ไม่รู้หรอกว่าจุดไหนคุณจะพร้อม ดังนั้นจุดที่คุณควรจะเริ่มคิดได้คือจุดที่คุณไม่ได้ลำบากเกินไปที่จะช่วยคน และก็มีเวลาพอที่จะช่วยเหลือเขา

 

เหมือนเราไปทำบุญที่วัดเราอาจจะทำ 20 บาทก็ได้ นั้นก็คือจุดที่เริ่มคิดถึงคนอื่น คุณไม่ต้องรอให้มีแบบ 100 ล้าน ผมทำจะ 2 แสน แบบนี้มันเสียเวลาไง

Q : สิ่งที่ดีที่สุดในความเป็นพรี่หนอม คืออะไร?

 

เป็นคำถามที่ดีนะ ชอบมากเลย พี่ว่ามันคือการปรับตัวนะ คือ ทุกวันนี้กูอยู่กับใครก็ได้ ถึงแม้มันจะแบบมีไม่ชอบบ้าง ทรมานบ้าง แต่การที่เราปรับตัวยอมรับเพื่ออยู่กับคนอื่นและตัวเองได้ มันเป็นอะไรที่เรารู้สึกว่ามันดี .. อย่างน้อยมันดีสำหรับเราเองแหละ

Q : จากที่รู้จักพี่มา ผมมั่นใจว่าพรี่หนอมน่าจะได้ค้นพบและทำความรู้จักกับดาร์คไซค์ของตัวเองแล้ว มีวิธีการจัดการ การควบคุมมันยังไง

 

เรื่องนี้ไม่ต้องคิดอะไรมากนะ คิดแค่ว่าแบบคุณไม่ชอบให้ใครทำอะไรกับคุณ คุณก็อย่าไปทำอะไรกับเค้า คือการที่เราอยากทำเหี้ย เราหงุดหงิด อยากด่าคน อยากโวยวาย แต่คิดกลับกัน เค้าหงุดหงิดแต่เค้าควบคุมอารมณ์ที่จะไม่ด่าเราได้เราก็แฮปปี้ ดังนั้นเราตั้งตัวเองไว้เลยว่า เราไม่ชอบอะไร เราอย่าไปทำกับคนอื่น อันนี้มันเป็นกฎเหล็ก

 

ถ้าเราไม่ชอบอะไรซักอย่างแล้วเราไปทำเอง แปลว่าคุณยังควบคุมตัวเองไม่ได้ คุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบอกว่าไม่ชอบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่มีหลุดนะ ในฐานะที่เป็นมนุษย์ เรามีหลุดเสมอแหละ แต่สิ่งที่เราทำได้คือเรียนรู้แล้วก็ปรับตัวให้มันดีขึ้นจริงๆ

Q : สิ่งที่เป็นเเรงผลักดัน ที่ทำให้พรี่หนอมสามารถให้ความรู้ผ่านทางบล็อกภาษีข้างถนนแบบต่อเนื่องมาตลอดเวลานานแสนนานแบบนี้คืออะไร ผมมองว่ามันยากนะ ที่จะทำแบบสม่ำเสมอ ในยุคแรกๆที่บล็อก หรือเพจให้ความรู้ ยังไม่เป็นที่สนใจขนาดนี้

 

การทำอะไรซักอย่าง มันต้องมองว่าเราได้อะไรนะ พูดอีกอย่าง เวลาเราทำอะไรซักอย่าง ต้องมองว่าคุณได้อะไรจากการทำยังงั้น

 

อย่างน้อยพี่ได้ทบทวนและสร้างเสริมความรู้ตัวเอง พี่ได้รู้ทางตัวเองว่าอยากจะเป็นคนที่รู้จริงด้านภาษี รู้เป้าหมายตัวเอง ทีนี้ก็กลับไปคำถามเมื่อกี้ที่บอกว่า ทำไมต้องให้คนอื่น ทั้งๆตอนนี้ก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองพร้อม ตัวเองเก่งภาษี แต่ถ้ามีความรู้ที่ถ่ายทอดได้ เราให้เค้าไป มันก็เป็นระหว่างทางที่เราเดิน เราได้ประโยชน์ ได้ทบทวน คนอื่นก็ได้ประโยชน์ ได้ความรู้เพิ่มในสิ่งที่เราเขียนได้ มันก็ Win-Win ทุกคนนะ

 

ถามว่าอะไรผลักดันมาตลอดหลายๆปี ถ้าจะมีสิ่งผลักดันได้ก็น่าจะเป็น การที่ใครสักคนเห็นประโยชน์ของงานเรา อาจจะเป็นข้อความขอบคุณง่ายๆ กำลังใจเล็กน้อยๆจากอีเมลล์ ทำงานแล้วได้เงินบ้าง ได้รู้จักได้อนาคตต่างๆบ้าง มันก็ไม่ทำให้เราหยุดเขียนได้หรอก คือมันเป็นไปไม่ได้หรอกว่าเราอยู่ด้วยการถึกควายโบ้ทำอะไรนานๆต่อกัน แต่ว่าถ้าในจุดที่เราท้อแล้วมีอะไรมาแบบดันขึ้นมา สิ่งนี้มันจะทำให้เราลุกขึ้นได้ง่ายขึ้น

Q : Mindset สำคัญ ที่คนเป็นต้นแบบ หรือกูรู จำเป็นต้องมี

 

(อันนี้คิดมานานมาก) สิ่งที่กูรูทุกคนต้องมีคือ ความซื่อสัตย์ ไม่ใช่ซื่อสัตย์ไม่คดโกงใครนะ ซื่อสัตย์ในที่นี้คือในเมื่อเราเป็นคนให้ความรู้คน สิ่งไหนที่คุณไม่รู้คุณก็บอกไม่รู้ ยอมรับไปเลย มันคือความจริง

 

เรามองว่าอันนี้มันจำเป็นมากนะ เพราะถ้าคุณไม่รู้แต่เสือกบอกว่ารู้ มันไม่ใช่กูรู คุณแม่งมั่วแล้ว สิ่งที่สำคัญสำหรับผู้รู้คือรับผิดชอบในสิ่งที่เราให้ไป สิ่งที่เราเขียน สิ่งที่เราพูด และต้องรับผิดชอบให้ได้

 

เพราะมันจะมีจุดหนึ่งคือพอกูรู้เยอะๆ มันจะมี Super E-go พลังงานบางอย่างขึ้นมาว่า เฮ้ยๆๆๆ กูต้องรู้ทุกเรื่อง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ยังไง มันก็มีบางคำถามที่พี่อาจตอบไม่ได้ พี่ก็ยอมรับว่าพี่ตอบไมได้ ดังนั้น Mindset สำคัญที่สุดของกูรู นั่นคือการที่คุณไม่ได้หลอกคนอื่น และคุณก็ไม่ได้หลอกตัวคุณเอง

Q : การเป็นกูรู เป็นคนให้ความรู้ แน่นอนว่ามีหลายคนให้ความสนใจในแนวคิด การใช้ชีวิต เรื่องพวกนี้ทำให้รู้สึกกดดันบ้างไหม

 

การที่มีคนมาสนใจเรามันก็ดี เพราะมันแปลว่า งานของเราก็ได้รับความสนใจมากขึ้น ไม่รู้สึกกดดันนะ ถ้าคุณคิดง่ายๆว่า ยังไงมันก็ดีกว่าไม่มีคนมาสนใจคุณ มันจะไม่กดดันอะไรหรอกใช่ปะ คือคนชมก็รู้สึกดี คนด่ารู้สึกแย่ แต่ถ้าวันหนึ่งไม่มีคนพูดถึงคุณเลยสักคำนี้แม่มแย่สุดนะ วิธีจัดการง่ายๆ คือ คุณก็เป็นสิ่งที่คุณอยากเป็นไปดิ ถ้าเค้าไม่ชอบคุณเค้าก็เลิกตามคุณเองแหละ ไม่ต้องคาดหวังอะไรหรอกของพวกนี้ สุดท้ายมันก็หายไป

Q : คิดว่า Mindset คน กับการใช้ชีวิตเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร

 

อันนี้ขอลอกคำพูดพี่หนุ่ม Money Coach มาเลยนะ เคยคุยกับแกแล้วชอบมาก คือ คนทุกคนอยากจะรวย แต่เค้ายังไม่รู้เลยว่าต้องมีเท่าไหร่ถึงจะเรียกว่ารวย ทีนี้มีคนบางกลุ่มคิดว่าเห็นช่องว่างตรงนี้มาหากิน มันเลยกลายเป็นคนรวยเจอคนเหี้ย ก็เลยอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข และสุดท้ายคนดีก็ไม่มีแดกต่อไป เพราะมันก็ยึดมั่นในความรู้สึกดีๆ โลกมันก็เป็นอย่างนี้

 

ถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต หากเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็น่าจะล่มสลาย วนไปวนมาเรื่อยๆ เดี๋ยวก็มาใหม่ แบบนี้แหละ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ควรจะเป็น Mindset จริงๆก็คือ เชื่อตัวเองนิดนึงก่อนไหม? ใครพูดอะไรมารับหมดเลย ไม่กรองเลย ทำอันนี้ดีก็ทำ อันนู้นดีก็ทำ อันนั้นดีก็ทำ สรุปทำทุกอย่างแต่ชีวิตไม่เคยดีขึ้นเลย

Q : พรี่หนอมหนีภาษีครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

 

พี่มั่นใจว่าชีวิตพี่ไม่เคยหนีภาษีนะเว้ย คือถ้าคุณคิดว่าผมหนีภาษีคุณจับผมให้ได้ก่อนนะครับ แล้วค่อยมาพูด (หัวเราะ) เอาจริงๆ โคตรเกลียดคำพูดคำหนึ่งที่ว่า “ใครๆแม่งก็โกง” คือถ้ามึงเหี้ยก็อย่าเอาคนอื่นไปร่วมหัวจมท้ายกับตัวเองด้วยเลยครับ

Q : รูปแบบภาษีในความคิดพี่ที่เหมาะกับคนไทยเป็นแบบไหน

 

เราชอบเอาเรื่องคอรัปชั่นไปผูกกับการจ่ายภาษี มันแปลกมาก เพราะสิ่งที่เราต้องดูคือการคิดอัตราภาษีเหมาะสมกับคนที่จะจ่ายหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าดูเงินที่จะจ่ายไปถูกนำไปบริหารหรือเปล่า เพราะท้ายที่สุดใครมาบริหารเราไม่รู้ สมมติคนบริหารดีไม่โกงภาษีประเทศดี แต่ถ้าอัตราไม่เหมาะสมคนใหม่มามันก็จะโกงยิ่งกว่าเดิม มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องโกงไม่โกงไง มันเกี่ยวกับโครงสร้างและระบบภาษี เช่น เก็บภาษีกับคนจนเหมาะสมไหม ? เก็บกับคนรวยเหมาะสมไหม ไปโฟกัสตรงนั้น ไม่ใช่เก็บเท่าไหร่ก็ได้ ขอให้ทำประโยชน์ให้ประเทศ

 

หรืออีกคำพูดคือ ไม่อยากจ่าย จ่ายไปก็โกง มันตลกมาก มันตบหน้าตัวคุณเองว่าคุณก็โกงกฏหมาย เหมือนคุณด่าตำรวจ แต่ตำรวจจะแจกใบสั่งคุณให้ตำรวจเลยร้อยนึง แล้วคุณก็ไปด่าตำรวจ

 

สิ่งสำคัญคือดูพื้นฐานระบบของการการเสียภาษีที่ถูกต้อง การจัดเก็บที่ถูกต้อง เหมาะสมไหม เพราะจริงๆแล้วเราก็รู้กันดีกว่าภาษีไม่มีใครชอบที่จะจ่าย ดังนั้นสิ่งที่ต้องใส่ใจคือที่จ่ายทุกวันนี้มันถูกต้องและเหมาะสมแล้วหรือยัง

Q : สุดท้ายอยากฝากอะไรที่ประทับใจกับทางบ้านบ้างครับ

 

ออกไปทำมาหากินกันเถอะครับ อย่ามัวแต่ฝัน ประสบการณ์จากการลงมือทำสำคัญกว่าเยอะครับ