038 : 10 เรื่องที่ไม่คิดว่าจะได้เรียนรู้ในปี 2016

ทุกๆวันสุดท้ายของปี ผมมักจะเขียนสรุปเรื่องที่ตัวเองได้เรียนรู้ เพื่อทบทวนตัวเองถึงเรื่องราวในปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ความก้าวหน้าของชีวิต แนวคิด และการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างที่เกิดขึ้น นอกเหนือจาก Year in Review ที่เขียนไว้ใน Status Facebook ส่วนตัว

ในปีนี้ผมร่างหัวข้อเรื่องที่เรียนรู้ไว้ใน Twitter @Bugnoms และเขียนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่อยากเอามาเขียนขยายความเพิ่มเติมในส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์อยู่ ไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์กับใครหรือเปล่านะครับ แต่แอบหวังไว้ลึกๆเหมือนกันว่ามันคงเป็นประโยชน์บ้างแหละครับ #เอ๊ะเอาไงเนี่ยมึง

โอเคอย่าเสียเวลาในวันใหม่ เรามาเริ่มต้นกันดีกว่า….

1. อย่าคิดว่าตัวเองมีปัญหาชีวิตหนักกว่าคนอื่น
ข้อแรกเป็นเหมือนสิ่งที่เตือนใจผมในการใช้ชีวิตตลอดมา แต่สิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เรียนรู้สำหรับปีนี้ คือ เมื่อตอนที่เราคิดว่าชีวิตมีปัญหานั้น จริงๆแล้ว มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของปัญหาเท่านั้น

ปีนี้เรียกได้ว่าผมเจอปัญหา “หนัก” ที่สุดในชีวิตหลายๆเรื่อง ซึ่งมีผลกระทบทั้งการเงิน การงาน ความคิด และความรู้สึกที่มีต่อโลกใบนี้ไปเลย แต่เมื่อมาถึงวันนี้ ผมกลับรู้สึกว่าปัญหาที่ผมเจอไม่ได้หนักสักเท่าไร และมันอาจจะน้อยด้วยซ้ำเมื่อเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ

ดังนั้น สิ่งที่อยากจะเตือนไว้คือ เมื่อไรก็ตามที่เราคิดว่าตัวเองมีปัญหาหนักกว่าคนอื่น มันจะทำให้เราโฟกัสไปที่เรื่องของตัวเองมากขึ้น นั่นแปลว่าเราเองก็จะเห็นว่าปัญหามันใหญ่มากขึ้นตามไปด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราใส่ใจมัน และอีกส่วนหนึ่งมาจากการที่เราเห็นความสำคัญในเรื่องอื่นๆ น้อยลง

ถ้าเป็นไปได้อยากให้ทำใจนิ่งๆ คิดเสียว่า ปัญหาชีวิตมันเป็นเรื่องปกติของการเป็นมนุษย์  :)

2. การจดบันทึกรายรับรายจ่ายคือความดีงาม
ก่อนจะอธิบาย คงต้องสารภาพแบบไม่อายก่อนว่า ในฐานะที่เป็นกูรูการเงินมาหลายปี ผมเองก็ไม่ค่อยตั้งใจจดบันทึกบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างจริงจังสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะให้น้ำหนักไปที่การพิจารณาว่า “สินทรัพย์” โดยรวมในปีนี้เพิ่มขึ้นกว่าเก่าหรือไม่ ถ้าเพิ่มขึ้นก็ดีใจเพราะเหมือนได้กำไรชีวิต แต่ถ้าไม่เพิ่มขึ้นเลยก็รู้สึกตกต่ำห่อเหี่ยวไปสักพักแล้วก็กลับไปมีชีวิตเหมือนเดิม #อ้าว

แต่ข้อเสียของสิ่งที่ผมทำก็คือ การวัดฐานะสินทรัพย์มันสะท้อนได้ ณ วันใดวันหนึ่ง (หากใครเรียนบัญชีมาคงจะเข้าใจดี) แต่ในขณะที่การทำบัญชีรายรับรายจ่ายมันสะท้อนให้เห็นความสามารถที่แท้จริงในการสร้างรายได้ของเราและการจ่ายไปว่ามันเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเราบ้าง

การทำบัญชีรายรับรายจ่ายและติดตามดูในทุกๆเดือนมันทำให้เตือนใจในการใช้จ่ายได้ดีขึ้น และในขณะเดียวกันมันได้รับความภูมิใจกลับมาว่าเราสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นและจัดการการเงินได้ดีขึ้นแค่ไหน และนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ในปีนี้เช่นเดียวกัน

หลายๆคนมักจะไม่เห็นความสำคัญของการบันทึกรายรับรายจ่าย แต่ผมอยากบอกเลยครับว่า จากการทดลองทำมาหลายๆปี ปีนี้เป็นปีหนึ่งที่ทำจริงจัง เก็บทุกเม็ด และใส่รายละเอียดครบ ผมรับประกันเลยชีวิตของคุณมันจะดีขึ้นจริงๆครับ เพราะผมพิสูจน์มาแล้วจนถึงวันนี้ครับ

3. ความสุขของความสัมพันธ์ คือ การอยู่ร่วมกันแล้วรู้สึกเย็นๆ สบายๆ
ปีนี้เป็นปีที่ผมมีลูกชายคนแรกให้กับครอบครัว ซึ่งมันทำให้ผมตั้งคำถามกับตัวเองขึ้นมาว่า “ความสุขของชีวิตคืออะไร” ซึ่งเป็นมุมมองอีกด้านในแง่ของการทำให้คนอื่นบ้าง และผมก็ได้คำตอบว่า สิ่งสำคัญของชีวิตอีกส่วนหนึ่ง คือ การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนที่เรารัก

ตอนแรกผมเข้าใจว่า รูปแบบของความสัมพันธ์ที่ดี คือ การทำเพื่อคนที่เรารักทุกอย่าง ทำตามที่เขาต้องการทั้งหมด (ป.ล. คำว่าคนที่เรารักนี่ไม่ได้หมายถึงแค่คนรักนะครับ แต่หมายความรวมถึงทุกคนที่อยู่รอบตัวเรา) และเมื่อเขามีความสุข เราก็จะมีความสุขไปด้วย

ปีนี้ผมเพิ่งเรียนรู้จากลูกชายผู้ซึ่งอายุครบ 2 เดือนไปไม่นานนักว่า รูปแบบของความสัมพันธ์ที่ดีนั้น มันควรจะอยู่ในรูปแบบที่สบายๆ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องโมโห และไม่ต้องทำอะไรเพื่อกันอีกฝ่ายมีความสุข แต่ควรทำเพื่อให้ความสัมพันธ์โดยรวมนั้นมันมีความสุข

ถ้าคุณเป็นคนที่รู้สึกเครียดที่ต้องทำเพื่อคนที่คุณรัก ผมอยากบอกว่ามันคือความรักที่ดี แต่คุณคงจะไม่ค่อยจะมีความสุขสักเท่าไร ดังนั้นการทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง มันจะทำให้คุณค่าของการทำเพื่อคนอื่นนั้นทวีคูณมากขึ้น

4. ออกกำลังกายต่อไปเถอะ
ผมเริ่มเล่นเวทเทรนนิ่งมาประมาณ 3 ปีกว่าๆ ซึงสิ่งที่พัฒนาขึ้นมาก็คือความหนาและความใหญ่ของร่างกาย ประกอบกับ รูปหน้าที่ค่อนข้างจะบานตามปกติ ซึ่งแปลว่าการเล่นเวทหรือออกกำลังกายของผม มันจะทำให้ตัวใหญ่ หนา และดูเหมือนว่าอ้วนขึ้นเยอะ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติที่ใครจะแซว จะขำ หรือมองว่ามันเป็นเรื่องตลก

สิ่งที่ผมรู้ก็คือ ถ้าการออกกำลังกายและสิ่งที่ตัวเองทำอยู่นั้นเป็นเรื่องที่ดี เราก็มีหน้าที่ทำต่อไป โดยวัดผลจากความสุขใจและภูมิใจที่ได้ทำ ไม่ใช่วัดผลจากความชื่นชมจากปากของคนอื่น เพราะมันคือร่างกายของเรา และเรามีหน้าที่ที่จะรับผิดชอบมันเอง

ยังไงซะ การออกกำลังกายก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไร คิดแบบนั้นก็สบายใจดีเหมือนกันนะฮะ :)

5. อย่าไปใส่ใจความรู้สึกมากนัก
ถ้าเป็นใน Twitter ผมมีพิมพ์ต่อไปด้วยว่า “ไม่ชอบใครก็อย่าไปยุ่ง ชอบใครก็ทำตัวดีๆกับเขา ชีวิตมันสั้น อย่าไปเยอะกับมันมาก” ซึ่งข้อนี้ผมเองก็เรียนรู้จากความสัมพันธ์กับคนหลายๆคนที่เข้ามาในชีวิตช่วงปีที่ผ่านมา และเขาก็ผ่านไปจากชีวิตผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ผมไม่ได้บอกว่าเราควรเป็นคนดี ห้ามเกลียดใคร หรือให้อโหสิกรรมกับทุกฝ่าย แต่ผมว่าสิ่งที่เราควรทำคืออยู่เฉยๆ และอย่าไปทำลายกันและกันให้มันยิ่งแย่ลงจะดีกว่า นั่นคือสิ่งที่ผมเลือกทำในปีนี้ ซึ่งไม่ได้ทำให้ความเกลียดชังที่มีต่อคนเหล่านั้นน้อยลง แต่กลับกัน มันทำให้ผมเข้าใจว่าความรู้สึกพวกนั้นมันทำให้เสียงานเสียการและเสียเวลาไปเปล่าๆ

ถ้าหากคุณเกลียดใครสักคน จงอย่าทำเหมือนเขามีผลกับชีวิตคุณ แต่จงทำให้เขาไร้ค่าและราคาที่คุณจะต้องเสียเวลากับเขา ผมว่ามันเป็นหนทางที่อาจจะดูเหมือนโหดร้ายไปสักหน่อย แต่ท้ายที่สุดแล้วมันจะดีกับตัวเราเอง

6. อย่าวัดงานที่ดีด้วยเงิน แต่วัดจากคุณค่า ทั้งคุณค่าที่คนอื่นได้รับจากเรา และคุณค่าที่เราได้รับจากงาน
เป็นอีกปีหนึงที่ผมได้มีโอกาสทำงานดีๆหลายงาน ซึ่งไม่ได้รับผลตอบแทนกลับมาในรูปแบบของเงิน แต่ได้รับกลับมาเป็นโอกาสที่มากขึ้น ความรู้ที่เพิ่มขึ้น และประสบการณ์ที่หาได้ยาก ซึ่งมันทำให้ผมตั้งคำถามว่า การที่เราได้รับอะไรแบบนี้ เป็นเพราะอะไร

คิดไปคิดมาก็ได้รับคำตอบว่า “คุณค่า” ของงานนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ดังนั้นถ้าใครกำลังสับสนว่างานที่ตัวเองกำลังทำอยู่นั้น มันโอเคกับชีวิตคุณหรือเปล่า คุณอาจจะลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า งานที่คุณทำนั้นให้คุณค่ากับใครบ้าง และผมหวังว่าอย่างน้อยคุณควรจะได้คำตอบว่า “งานที่เราทำอยู่นั้นมันให้คุณค่ากับเรา”

7. พยายามอ่านหนังสือเยอะๆ ฟังคนอื่นเยอะๆ และพูดให้น้อยลง
มันอาจจะเป็นเรื่องที่ตลกตรงที่ ทุกวันนี้มีคนพูดมากกว่าคนฟัง และมีคนสนใจเรื่องราวข่าวสารที่มากมายในกระแส จนลืมที่จะให้เวลาเงียบๆอยู่กับสิ่งที่ตัวเองสนใจ

ปีนี้ผมได้อ่านหนังสือมากขึ้น ซึ่งข้อดีของมันคือการที่เราได้อยู่กับตัวเองและได้ใช้เวลาเพื่อเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างผ่านตัวอักษร และส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นการสร้างสมาธิที่ดีวิธีหนึ่ง ในขณะที่การฟังคนอื่นมากๆ ทำให้เราหยุดคิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง และในบางครั้งสิ่งที่เราได้รับจากการตั้งใจฟังนั้น มันอาจจะมีคุณค่าบางอย่างที่คาดไม่ถึงอีกด้วย

ส่วนการพูดให้น้อยลงนั้น ไม่ใช่บอกว่าให้คุณเป็นคนเงียบๆ ไม่กล้าพูด แต่อยากให้เลือกพูดในสิ่งที่ควรพูด และหยุดพูดในสิ่งที่ไม่เหมาะสม และผมคิดว่ามันเป็นอะไรที่ดีมากๆในการอยู่ในยุคที่ไหลเชี่ยวแบบนี้ครับ

8. อยากให้ใครไว้ใจเรา ต้องแสดงความเป็นมืออาชีพและความเป็นผู้ใหญ่ให้เขาเห็น แต่อย่าลืมคงความอ่อนน้อมไว้ด้วยนะ
อันนี้ชัดเจนตามทีเขียนไว้อยู่แล้ว คงไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่ม แต่ปีนี้ผมได้เรียนรู้จากเรื่องนี้แหละครับ รับปากใครว่าจะทำงานอะไรจงทำให้ได้ สัญญาอะไรกับใครไว้ก็รักษาสัญญาซะ เรื่องง่ายๆที่ทำยาก แต่ถ้าทำได้คุณจะได้รับการยอมรับจากคนอีกมากมายครับ

9. การพูดตรงๆไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยากคือพูดตรงโดยปราศจากอารมณ์ และทำให้กระทบความรู้สึกคนฟังน้อยที่สุด
การพูดตรงเป็นเรื่องที่ดี แต่การพูดให้คนฟังรู้สึกดีและตรง เป็นเรื่องที่ยาก แต่จงพยายามหัดทำมัน อย่างน้อยเราจะได้มีความสุขที่ได้พูดความจริง และเขาจะไม่มีความทุกข์จากคำพูดของเรา

10. มีเรื่องอีกมากมายที่เราไม่รู้ แต่เรื่องที่เราต้องรู้ คือ รู้ว่าเราต้องการอะไรในชีวิต
ชีวิตเราต้องการอะไร นั่นคือสิ่งที่เราต้องถามตัวเอง ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ตั้งเป้าหมายในปีใหม่ แต่ให้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะผมเชื่อว่าในแต่ละเวลา เราต่างมีความต้องการที่แตกต่างกันไป จงเลือกใช้เวลาที่เหมาะสมร่วมกับความคิดที่ถูกต้อง นั่นคือ คำตอบของชีวิต

บทเรียนทั้งหมดในปี 2016 นี้อาจจะดูไม่มีอะไรมาก แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตสำหรับผมต่อๆไป เพราะชีวิตเราไม่จำเป็นต้องเยอะ แต่ต้อง “ยึด” หลักในการปฎิบัติที่ชัดเจน เพื่อที่จะได้ตอบตัวเองได้ว่าเราทุำอย่างในทุกวันนี้ เพื่ออะไร?

สวัสดีปีใหม่ครับ :)

 

new