006 : ความคิดในอดีตที่เปลี่ยนไป กับ สิ่งที่อยากจะบอกให้คนรุ่นใหม่รับรู้

 

หลังจากที่เขียนแชร์ประสบการณ์ตัวเองไปแล้วในบล็อกที่แล้ว (005 : ความสำเร็จของชีวิต… ควรเริ่มต้นจากสิ่งที่เราไม่ชอบ) ดังนั้นบล็อกประจำวันนี้ถือโอกาสเขียนต่อเนื่องเพื่อบันทึกประสบการณ์ชีวิตในช่วงเวลาหนึ่งของตัวเองที่มาจาก Status ใน Facebook ส่วนตัวอันนี้ครับ

 

ช่วง 2-3 วันนี้ มีคนมาปรึกษาเยอะมาก ทั้งลูกศิษย์ และน้องๆที่รู้จักมักคุ้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องงานที่ทำ อยากเปลี่ยนงาน เป…

Posted by Thanom Ketem on Saturday, March 19, 2016

 

หลังจากที่เขียนเสร็จแล้วนั่งภาคภูมิใจกับเสียงตอบรับจากคนไลค์ คนแชร์ คนมาเม้นท์ ทำให้รู้สึกดีใจและมีความสุขฟินเฟอร์ไปสักพัก แต่พอมานั่งอ่านดีๆ แล้ว ผมคิดว่า Status ที่ว่านี้ … มีที่มาจากประสบการณ์ทั้งหมดของผมที่ผ่านมาในช่วงเวลาประมาณ 15 ปีกว่าๆ ทีได้ใช้ชีวิตการทำงานในวัฏจักรของมนุษย์เงินเดือนและฟรีแลนซ์

แรกเริ่มเดิมทีผมเองก็เป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วไปนี่แหละครับ ทำงานมั่นคงมีความสุขอยู่ดีๆในสายอาชีพบัญชี สอบบัญชี แต่ชะตาชีวิตก็ดันจับผลัดจับผลูมาเป็นข้าราชการประจำ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของชีวิตฟรีแลนซ์ (Freelance) ที่ว่านี้เพราะเงินเดือนที่มีไม่พอทำมาหารับประทาน (เรียกสั้นๆว่าไม่พอแดรกส์นั่นเอง)

ในช่วงเวลาการทำงานที่ผ่านมา ผมพบความจริงอยู่ข้อหนึ่งว่า “คนเราทุกคนมีการเปลี่ยนแปลง” และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดของผม คือ “ความคิด” โดยเฉพาะความคิดที่มีต่อเรื่อง 3 เรื่องที่สำคัญมากๆ คือ เรื่องเงิน เรื่องการทำงาน และ เรื่องการใช้ชีวิต

เรื่องแรก คือ เปลี่ยนจากความรู้สึกว่า “เงินไม่สำคัญต่อชีวิต” กลายเป็น “เงินสำคัญมากนะ” เมื่อก่อนผมเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นความสำคัญของเงินสักเท่าไร มีเท่าไรก็ใช้หมด จ่ายหมด ไม่เสียดายแถมยังสบายใจอีกต่างหาก แถมยังชอบพูดติดปากอยู่บ่อยๆ ว่า รวยไปก็ไม่มีความสุข ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะภาระทางบ้านที่น้อยกว่าชาวบ้านเขา หนี้ก็ไม่มี แถมพ่อแม่ยังหาเลี้ยงตัวเองได้ (ฐานะดีกว่าลูกอีกต่างหาก – -“ )

แต่พอมาสู่ช่วงที่มีรายได้น้อยลง ไลฟ์สไตล์ที่เคยคิดว่าดี คิดว่าเจ๋ง สุดท้ายก็กลายเป็นว่าไม่มีปัญญาทำได้เหมือนเดิม แถมภาระความกดดันก็มากขึ้น อยากได้เงินมากขึ้น หาอะไรทำมากขึ้น ด้วยศักดิ์ศรีที่เราเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ และที่สำคัญที่สุด ที่ทิ่มแทงตัวผมเองอยู่เสมอ คือ เราต้องไม่เป็นภาระของครอบครัว ในเมื่อเขาไม่เป็นภาระกับเรา เราก็ไม่มีสิทธิที่จะสร้างภาระให้กับเขา

เมื่อเข้าตาจน และรู้ว่าเงินมันสำคัญในการใช้ชีวิต เราควรจะยอมรับตัวเองให้ได้สักทีว่าจริงๆแล้ว “เงินสำคัญมาก” แต่ไม่ได้สำคัญที่สุดเท่ากับความสามารถในการหาเงิน

เคยได้ยินคำว่า “มีเงิน XX บาทจะเอาไปทำอะไรดี?” ใช่ไหมฮะ มีคำตอบหนึ่งที่ผมชอบมากๆ นั่นคือคำตอบของน้องมัดบ.ก.คู่ใจ เขาบอกว่า “ต้องถามก่อนว่า มีเงินเท่านี้แล้วอันที่ไม่ใช่เงิน มีอะไรบ้าง ถึงจะบอกได้ว่าทำอะไรดี เหมือนคนที่จะศัลยกรรมอ่ะพี่ ถ้าถามว่าแสนนึงพอไหม คงต้องถามกลับไปว่า แล้วเบ้าหน้าดั้งเดิมของน้องเป็นยังไงล่ะคะลูกก”

นั่นแหละฮะ ถ้ามีความสามารถในการหาเงินเมื่อไร เราจะรู้ว่าเงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด และเราจะไม่มาถามคำถามพวกนี้อีกต่อไป และถ้ามีการเก็บเงินสำรอง (เงินฉุกเฉิน) วางแผนการใช้จ่าย บริหารการเงินให้เป็นด้วย รับรองว่าจะช่วยได้มากเลยล่ะครับ

อย่างตัวผมเองนั้น รายได้หลักมาจากการทำงานฟรีแลนซ์ ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ผมคิดว่าเป็น “อาชีพ” ไม่แน่นอน ดังนั้นสิ่งจำเป็นอันดับแรกคือการมีเงินสำรองมากที่จะพอใช้จ่ายสบายๆไปได้สัก 1 ปี หากเราไม่มีรายได้อีกต่อไป

เรื่องที่สอง คือ การทำงาน ผลของทัศนคติเรื่องเงินที่คิดว่ารวยไปก็ไม่มีความสุข ทำให้ผมกลายเป็นพวกสุขนิยมโฟเบีย (คิดเอง) คือ เลือกงานที่ตัวเองทำแล้วสบายใจ สบายกาย (ไม่เกี่ยวกับความฝันหรือแพสชั่นแต่อย่างใด เน้นสบายเข้าว่า)

ดังนั้น ความรู้สึกทุกครั้งที่มักจะได้ยินคนบ่น หรือมีคนมาปรึกษาว่าจะลาออกจากงานเมื่อไร ผมก็จะครอบความคิดของตัวเองลงไปเลยว่า เฮ้ย ถ้ามันมาปรึกษาคนอื่นแสดงว่ามันอยากออกเว้ย ถ้ามึงไม่อยากออกก็คงไม่มาปรึกษากูใช่ป่ะล่ะ (เป็นความคิดที่ไร้สาระชิบหาย คนบางคนมันแค่อาจจะอยากมองหาโอกาส หรือเป็นอารมณ์ชั่ววูบก็ได้ ..)

ยิ่งถ้าได้ยินคำบ่นว่าทำงานหนัก ไม่อยากทำ ผมมักจะแนะนำและบิ้วววให้ลาออกตลอดๆๆๆ ไม่เคยถามถึงภาระ ข้อจำกัด หรือความฝันห่านอะไรในชีวิตใครเลย ซึ่งตอนนั้นผมคิดว่า โห.. กูแม่มอินดี้ นี่มันคำแนะนำที่เจ๋งมากสำหรับคนอย่างเรา (ที่อยู่ในกะลาเง่าๆหนึ่งใบ)

แต่ผมก็มาเริ่มรู้สึกตัว หลังจากที่หลายๆ ครั้ง มีคนมาปรึกษาแล้วตัดสินใจลาออกตามคำแนะนำ แต่ชีวิตแม่มไม่ได้ดีอย่างที่เขาหวังไว้ มีบางคนต้องกลับไปตายรังทำงานที่เก่าเพราะเป็นหนี้บ้าน หนี้รถ บางคนกลายเป็นโรคซึมเศร้า จิตเวช บางคนร้ายกว่านั้นคือออกไปที่ใหม่แล้วเจอกดดันจนสุดท้ายตกงาน ไอ้ตรงนี้มันเลยย้อนกลับมาถามผมว่า สิ่งที่ให้คำปรึกษาคนเหล่านั้นไป คืออะไร? กูมีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่เขาจะทำร้ายชีวิตตัวเองหรือเปล่า ประกอบกับการที่ตัวเองไม่มีเงินใช้ ถึงจะมาสำนึกได้ว่า “เฮ้ย จริงๆชีวิตนี้ไม่ได้มีแต่ขาวกับดำนี่หว่า”

ช่วงหลังๆ มานี้ ผมเชื่อเสมอว่างานที่เหมาะและงานที่ดีสำคัญมากกว่างานที่รัก เพราะคำว่า “เหมาะ” มันจะปรับขึ้นตามประสบการณ์ทำงานของเรา และคำว่า “ดี” มันจะทำให้เราอยู่กับมันได้นานกว่างานอื่นๆ

โดยเฉพาะคนที่ทำงานอิสระทั้งหลาย ฟรีแลนซ์ สิ่งที่ต้องเพิ่มเข้าไป คือ การบริหารจัดการเรืองงานอย่างมีระบบ จะช่วยให้เราสามารถทำงานที่เหมาะและดี  ได้ดียิ่งๆขึ้นไป และมันทำให้เราเข้าใกล้ความมั่นคงมากขึ้น

เรื่องสุดท้าย คือ เรื่องการใช้ชีวิต เรื่องนี้ผมได้เรียนรู้ผ่านชีวิตของคนหลายๆคนรวมถึงเรียนรู้จากการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของตัวเองหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดว่า “ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่เราอยากเป็น” กลายเป็น “ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่เราพอใจในสิ่งที่มันเป็น” ซึ่งเรื่องนี้มันสำคัญมากๆนะครับในการอยู่และเรียนรู้โลกที่เปลี่ยนแปลงเร็วดังเช่นในทุกวันนี้

คำว่า “ชีวิตที่เราอยากเป็น” แปลว่า เรายังเป็นไม่ได้ แต่เรามีความคาดหวังไว้ว่าอยากจะเป็น ซึ่งสิ่งที่ต้องระวังคือ ความอยากที่ว่านั้นมันมาจาก “เรา” หรือ มันมาจาก “คนรอบข้าง” เพราะการที่เราอยากมี-อยากเป็น-อย่างเช่นคนรอบข้างนั้น มันจะทำให้เรามีความสุขจริงๆหรือ ?

ส่วนคำว่า “ชีวิตที่เราพอใจในสิ่งที่มันเป็น” ผมหมายถึงในสิ่งที่เราอยู่และเรียนรู้ที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ได้หมายถึงความพอเพียง หรือให้ลดความอยากลงไป แต่มันคือการเรียนรู้จะที่อยู่กับความฝันและความผิดหวังไปพร้อมๆกัน

มีหลายครั้งเลยที่ผมอยากจะได้งานเยอะๆ คนรู้จักมากๆ มี Connection มากมายเพื่อค้นฟ้าคว้าดาวหาโอกาสรอบตัว  (อย่างที่บอกว่าชีวิตฟรีแลนซ์นั้นมันไม่แน่นอน) ดังนั้นจึงพยายามทำงานทุกอย่างเท่าที่ทำได้ พยายามขยายความสามารถให้กว้างไกลเพื่อที่หวังว่าจะให้คนยอมรับมากขึ้น เพราะผมเชื่อว่าการที่มีสิ่งเหล่านี้มากขึ้นนั้น ย่อมสร้างรายได้ที่มากขึ้น และปลายทางของความสำเร็จคือชีวิตผมจะต้องดีขึ้นมากๆ

ผมทำงาน ทำงาน ทำงาน ทำงาน และทำงานอย่างหนัก จนวันหนึ่งที่ผมป่วยหนักจากผลของความพยายามที่ว่านี้ ระหว่างที่ผมนอนนิ่งๆ มองดูเพดานบ้าน ผมเกิดถามกับตัวเองว่า สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญจริงๆ คืออะไร ? และคำตอบที่ได้ คือ การทำงานที่มีคุณภาพจากสิ่งที่เรามีความรู้จริงๆ เพื่อให้มันสร้างโอกาสกลับมาให้กับตัวเอง ไม่ใช่การพยายามสร้างโอกาสในการทำงานเดิมๆ ให้กว้างขวาง เพราะสุดท้ายเราจะขาดสิ่งที่เรียกว่าคุณภาพจากปริมาณงานที่ถาโถมเข้ามา และพบว่าตัวเรานั้นไม่ได้มีคุณค่าอะไรเช่นเดียวกับเครื่องจักรหนึ่งชิ้นในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เพียงแค่นั้น

ต้องบอกว่า.. มันไม่ใช่เรื่องที่ผิดนะครับ ที่ใครจะคิดแบบไหน ผมย้ำเสมอว่า ผมไม่มีสิทธิตัดสินชีวิตใคร แต่อย่างน้อยคุณนี่แหละจะตอบตัวเองด้วยความรู้สึกที่มี ถ้าหากชีวิตเราไม่ได้ต้องการแบบนั้นจริงๆ

 

เพราะชีวิตที่ดี ไม่ใช่ชีวิตที่เหมือนใคร
แต่มันคือชีวิตที่เราพอใจในสิ่งที่มันเกิดขึ้น

 

จริงๆแล้ว ผมตั้งใจจะเขียนแชร์ประสบการณ์เรื่องนี้ในหนังสือเล่มล่าสุดที่มีชื่อว่า ฟรีแลนซ์101 ซึ่งเป็นหนังสือการเงิน+การวางแผนภาษี และแชร์ประสบการณ์ในการบริหารจัดการเงินของตัวเองด้วยภาษาที่กวนตีนและกันเองแบบสุดๆ แต่เมื่อได้เขียน Status ต้นทาง จึงทำให้มีโอกาสใช้เวลาในการกลั่นกรองสิ่งที่ตัวเองเคยคิดไว้ ออกมาไว้ในบล็อกวันนี้ครับ

 

FF01(อุดหนุนหนังสือได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ : http://goo.gl/fYglBV)

 

สุดท้ายผมหวังว่าสิ่งที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ จะมีประโยชน์กับคนทุกคนที่กำลังเลือกงาน สับสน เปลี่ยนงาน หรือคิดจะออกจากงาน รวมถึงใครที่กำลังมีปัญหาชีวิตอยู่ไม่มากก็น้อยนะครับ ขอบคุณที่ตั้งใจอ่านมาจนจบถึงบรรทัดนี้

… และหวังว่าคงติดตามกันต่อในบล็อกต่อจากนี้นะครับ :)

-005 : ถ้าทำงานนี้แล้วไม่ได้เงิน … มึงจะยังทำงานนี้อยู่หรือเปล่า?

 

ถ้าทำงานนี้แล้วไม่ได้เงิน …

มึงจะยังทำงานนี้อยู่หรือเปล่า?

ผมเคยถามคำถามแบบนี้กับตัวเอง 2 ครั้ง ครั้งแรก มันเกิดขึ้นเมื่อหลายปีที่แล้ว ตอนตัดสินใจเริ่มต้นเขียนบล็อกด้วยความรู้สึกสั้นๆ ว่า “อยากลองทำดู” นับตั้งแต่วันแรกที่เขียนบล็อกเรื่องราวไดอารี่ส่วนตัว เพราะคิดว่าแนวคิดและแนวเขียนของตัวเองนั้นช่างเลิศหรูเสียเต็มประดา มาจนถึงวันที่ตัดสินใจเขียนบล็อกให้ความรู้ เพื่อที่จะลองดูว่าเราจะได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนี้

 

วันเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ แต่ก็รวดเร็วพอที่ผมจะเห็นว่ามันเปลี่ยนแปลงชนิดที่เรียกว่าแปรผัน 2 ปีแรกหลังจากที่ตัดสินใจทำแบบนี้ ความจริงที่พบเห็นได้อย่างนึงก็คือ ไดอารี่ขีวิตมึงนั้นไม่มีใครสนใจ เพราะมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับชีวิตเขา และความคิดคำคมที่มึงเสกสรรปั้นแต่งมานั้นมันช่วงกลวงและกากเสียเต็มประดา ส่วนความรู้ที่พยายามจะแชร์มาน่ะหรือ มันก็เป็นแค่การก็อปปี้ความคิด คำสอนของอาจารย์หลายๆท่าน รวบรวมมาเป็นบทความที่ไร้ความสำคัญกับชีวิตคนเหมือนเดิม

 

ไม่ต้องมีคำหล่อๆของไอน์สไตน์อย่าง “มีแต่คนบ้าเท่านั้น ที่จะทําสิ่งเดิมซ้ํา ๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง” ให้ฟัง สำนึกและสติก็คงพอที่จะคิดเองได้ว่า สิ่งที่เราทำนั้นมันช่างไร้ค่า ดังนั้นควรจะทำต่อหรือเลิกราแล้วต่อกันดี ถ้าเลิกก็จบ ถ้าต่อก็ไม่รับประกันว่าจะสำเร็จ เพราะความอดทนและความพยายามที่ผิดที่ ก็เหมือนคนโง่ที่พาตัวเองเสียเวลาชีวิตไปวันๆ เท่านั้นเอง

 

น่าแปลกที่ผลลัพธ์ของมันปรากฎในปีที่ 4 เติบโตในปีที่ 5 และมาเบ่งบานแก่กล้าในปีที่ 6 จนกลายเป็นว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดนั้นเหมือนเรื่องง่ายดายที่เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยในอากาศ รอแค่คนมาสูดดมเข้าไปเหมือนกาวแล้วดึงดาวแห่งความสำเร็จมาประดับไว้ตรงบ่า จนถึงวันนี้ความพยายามที่ผ่านมาก็ยังคงถูกใครหลายคนสูดดมแล้วบอกว่า “เพราะคุณมีโอกาสที่ดีกว่าคุณเลยทำได้”

 

เมื่อเส้นทางถูกจุดติด สิ่งที่ตามมาทั้งหมดในชีวิตเราจะเรียกมันว่าโอกาส ซึ่งโอกาสก็ถูกแบ่งแยกย่อยออกเป็น “โอกาสที่ต้องทำ” “โอกาสที่ควรทำ” และ “โอกาสที่เราเองก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงกับมันดี” และตรงนี้คือสิ่งที่จะมาเปิดประสบการณ์ให้เราก้าวไปต่อ จนผ่านมาได้ในถึงทุกวันนี้

 

และการ์ดกับดักก็เริ่มทำงาน เราเริ่มหลงระเริงอยู่กับโอกาส เริ่มฝันหวานกับความก้าวหน้า เริ่มสูดดมกัญชาที่ทำให้เราคิดว่าเรากลายเป็นผู้ที่แน่นอนกับความสำเร็จ แต่สุดท้ายแล้วความรู้สึกเหล่านี้อาจจะนำพาให้เราล้มจนเจ็บเจียนตายก็ได้

ถ้าทำงานนี้แล้วไม่ได้เงิน …

 

มึงจะยังทำงานนี้อยู่หรือเปล่า?

 

เมื่อถึงจุดนั้น สิ่งที่เราใช้ต่อต้านการ์ดกับดัก คือ ถามคำถามเดิมซ้ำๆ ให้มันตอกย้ำเข้าไปถึงสิ่งที่เราต้องการมากกว่า “เงิน” แน่ล่ะว่าเงินมันซื้อทุกอย่างได้แหละ แต่คำถามคือ บางอย่างที่เงินซื้อไม่ได้สำหรับเรานั้นคืออะไร และงานที่เราเลือกทำนั้นทำให้เราได้สิ่งนั้นกลับมาหรือเปล่า เช่น ประสบการณ์ที่ได้ร่วมงานกับคนเก่ง (ซึ่งถ้าใช้เงินซื้อก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้หรือไม่) ความรู้สึกดีๆ ที่ได้เป็นผู้ให้หรือไ้ด้รับการยอมรับ (เงินซื้อได้ แต่เราจะภูมิใจในตัวเองเท่านี้หรือเปล่า) หรือแม้แต่การเลือกที่จะไม่ทำงานเพื่อเงิน เพราะต้องการ “เวลา” ในช่วงเดียวกันทำอย่างอื่นในชีวิตที่เราคิดว่ามันมีค่ามากกว่าเงินที่ได้รับมา

 

ไม่ต้องแปลกใจถ้าเจอหลายคนก่นด่าว่าทางที่เราเลือกนั้นเป็นทางที่โง่เง่า ไม่ต้องเศร้าถ้าหากเราจะเลือกทางเดินที่ผิดจนต้องเอ่ยคำว่า “รู้งี้” ไม่ต้องท้อแท้ พูดจาร้องหาความดี เพราะบางทีสิ่งที่เราเลือก โอกาสที่เราใช้ มันอาจจะให้อะไรบางอย่างที่เจ็บปวด และไม่ได้แม้แต่เงินก็ตาม

 

เพราะสุดท้ายทางที่เราเลือกเดินนี่แหละมันจะเป็นคำตอบว่าเราชื่นชอบในการใช้ชีวิตของเราจริงๆหรือไม่ หรือสุดท้ายเราเป็นได้แค่เพียงคนโง่เง่าที่เอาแต่เสียเวลาคิดไปเองว่าสิ่งที่เราทำนั้นมันยิ่งใหญ่เสียเต็มประดา

 

 

-007 : ประสบการณ์ในเดือนที่แย่ที่สุดของชีวิต

 

สิ่งหนึ่งที่ตั้งใจไว้.. หลังจากทำบล็อก “พรี่หนอม” ขึ้นมาใหม่แทน “บล็อกควายๆของนายหนอม” คือ การเริ่มต้นเขียนเนื้อหาใหม่ในมุมมองที่เปลี่ยนไปตามวัยที่มากขึ้น (แก่) และวางแผนกับตัวเองเอาไว้คร่าวๆว่าจะเขียนบล็อกให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งเรื่อง ซึ่งก็เป็นไปตามแผนแต่โดยดีหากนับจากเดือนมีนาคม 2559 เป็นต้นมา และก็หักเหมาจนล้มไม่เป็นท่าในเดือนมิถุนายน 2559

 

โดยปกติแล้ว ผมมีงานที่ต้องเขียนในแต่ละเดือนประมาณ 15-20 เรื่อง ตั้งแต่งานเขียนลงบล็อก บทความ หรือนิตยสารต่างๆ (มีทั้งเขียนฟรีและได้เงินค่าเขียนเล็กๆน้อยๆ) แต่ไม่รวมงานเขียน Advertorial และงาน Ghost Writer อื่นๆที่รับจ้างตามความต้องการของตลาดในขณะนั้น

 

นอกจากงานเขียนแล้ว ผมก็เริ่มที่จะเพิ่มเติมคลิปวีดีโอลงยูทูปอาทิตย์ละ 1-2 เรื่อง และถ้าหากที่ต้องเขียนลงพรี่หนอมด้วยก็คงจะได้ประมาณ 30 เรื่องต่อเดือนพอดี คิดเป็นเฉลี่ยวันละเรื่อง (ไม่รวมงานเขียนหนังสือ และทำความพร่ำเพร้อลง Facebook ส่วนตัว) และเนื่องจากงานเขียนนี้ถือเป็นรายได้เพียงส่วนหนึ่งจากงานที่ผมทำ มันย่อมแปลว่าผมต้องพยายามบริหารจัดการเวลาในการเขียนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด นั่นก็คือ เขียนให้เร็วขึ้น และ เขียนให้ดีขึ้น (แต่คิดว่าสิ่งที่เคี่ยวกรำให้งานเสร็จจริงๆนั้น คงเป็นพลังของเดตไลน์ที่ควบกระชั้นเข้ามากกว่า)

 

ในเดือนมิถุนายน 2559 มีเหตุการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้นในแบบที่ไม่คาดคิด ไปจนถึงสิ่งที่วางแผนไว้หลายๆอย่างผิดพลาด ทำให้ผมเกิดอาการติดสตั้นท์ขึ้นมาจนต้องทิ้งงานหลายๆอย่างไป และหนึ่งในนั้นคืองานเขียนบล็อกเรื่องราวส่วนตัวลงที่แห่งนี้ แบบชนิดที่เรียกได้ว่าไม่มีอารมณ์เขียนไปดื้อๆ (ขอโทษสำหรับใครหลายคนที่ถามถึงนะครับ.. แต่เอาจริงๆก็มีอยู่ 2-3 คนแค่นั้นเอง TwT)

 

วันนี้ได้ฤกษ์เขียนออกมาเสียที และสิ่งที่ผมอยากเขียนในวันนี้ มันคงเป็นแค่การบันทึกไดอารี่ของความรู้สึกในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อาจจะไม่ใช่แนวความคิด ปรัชญา บทความเสียดสีจิกกัดสังคม เหมือนที่เขียนตามปกติ แต่ผมถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมได้เรียนรู้และเข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น และถ้าหากใครสักคนที่ได้เข้ามาอ่านมันเห็นว่ามีประโยชน์ ผมคงรู้สึกยินดีมากๆ ที่ประสบการณ์ชีวิตผมนั้นกลายเป็นกระจกสะท้อนอะไรบางอย่างให้กับใครคนนั้น (ที่หลงเข้ามา – -“)

 

เอาล่ะ.. ถึงเวลาเลิกเขียนอะไรหล่อๆ พร่ำเพร้อพรรณาแล้วล่ะฮะ มาลองดูละกันว่าในเดือนที่ผ่านมาผมมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกแบบไหนบ้าง

 

งานหนักกลายเป็นการบำบัดความรู้สึก

 

เรามักจะได้ยินกันคำกล่าวว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าคน” ถึงแม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้สักเท่าไร แต่ในช่วงที่ผ่านมาสิ่งที่เพิ่มขึ้นจากคำว่า “งานหนัก” นั้น ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเป็นการบำบัดความเครียดได้เป็นอย่างดี เพราะมันทำให้เราต้องจดจ้องอยู่กับสิ่งอยู่ตรงหน้า มากกว่าปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านไปกับความเครียดที่เกิดขึ้นมา แน่ล่ะว่ามันไม่ได้ทำให้เราลืมสิ่งที่เกิดขึ้น แต่มันก็ยังดีกว่าการนั่งฟูมฟาย ระบาย หรือออกไปทำร้ายตัวเองให้แย่ลง ดังนั้นถ้าหากคุณมีปัญหาชีวิต ลองเลือกใช้งานหนักๆ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจสักช่วงหนึ่งก็ไม่เลวเหมือนกันครับ

 

ปัญหาเรื่องเงิน มันเกิดจากคน

ถ้าผมจำไม่ผิดคำพูดนี้น่าจะมาจากโค้ชหนุ่ม (Money Coach) ซึ่งเมื่อผมได้พบกับปัญหาเรื่องเงินที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวกลับยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกเลยว่า “มันเป็นความจริง” เพราะไม่ว่าจะมีเงินมากมายเท่าไร ไม่ว่าจะพยายามใช้เงินแก้ปัญหาแค่ไหน แต่สุดท้ายเราปฎิเสธไม่ได้หรอกว่า ปัญหาล้วนมาจากคน มากกว่า “เงิน”

 

ปัญหาที่ว่า คือ การใช้จ่ายของคนใกล้ตัวแบบไม่คิดหน้าคิดหลังในบางเรื่อง ซึ่งทำให้ผมรู้สึก “เสียดาย” แต่สิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ คือ “ความรู้สึก” ที่เสียไป และ “การกระทำ” ที่ไม่คาดคิดมากกว่า

 

เราปฎิเสธไม่ได้หรอกว่า ในโลกปัจจุบันนี้ เงินเป็นสิ่งสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ วิธีการที่เราปฎิบัติต่อเงินในทุกๆวัน ที่ทำให้เราต้องหันมาตั้งคำถามว่า การหาเงิน การใช้จ่ายเงินของเรา มันกำลังทำร้ายคนรอบตัวเราอยู่หรือเปล่า?

 

เราด่าทอ “คนที่แตกต่างจากเรา”

เพียงเพราะเขาอาจจะเป็นคนที่เราเกลียด

 

ขอยอมรับตรงๆว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะชอบ “กูรู” ที่จัดงานสัมมนาแบบหลอกลวงสักเท่าไร โดยเฉพาะเรื่องของความสำเร็จแบบฉับไว ร่ำรวยทันใจ เพราะผมไม่ค่อยเชื่อในการทำอะไรแบบ “สั้นๆง่ายๆ” เพื่อให้ประสบความสำเร็จ “เร็วๆ” อย่างที่ต้องการ แต่ในอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ผมเตือนตัวเองในฐานะ “คนทำงาน” คือ วันหนึ่งเราอาจจะกลายเป็นอย่างเขาโดยที่เราไม่รู้ตัวก็ได้ เพราะไม่ว่าเขาจะขายความสำเร็จในรูปแบบไหนก็ตาม หรือเราจะก่นด่าเขารุนแรงแค่ไหน หากโชคดี เราก็ทำได้แค่เตือนสติใครสักคนที่อ่านเจอ แต่ถ้าหากโชคร้าย เราก็กลายเป็นคนสร้างศัตรูไปง่ายๆซะงั้น และถ้าวันนึงเราพลาดพลั้งเผลอไปทำบ้าง เราจะกล่าวอ้างกับตัวเองอย่างไร #เปิดการ์ดโลกสวย

 

ในช่วงนึงของชีวิตที่ผ่านมา ผมมักจะเขียนบทความประชดประชันแดกดันลงในเฟสบุ๊กส่วนตัวบ้าง หรือหลุดพูดจาไปบ้าง ซึ่งที่พูดมาก็ไม่ได้ต้องการจะขอโทษอะไรหรอกครับ เพราะทุกวันนี้ผมก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่เหมือนเดิมแหละ (อ้าว)

 

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในตอนนี้ มันคือทัศนคติในการทำงานของตัวเอง ยิ่งเราด่าเขา เรายิ่งต้องชัดเจนในการทำงาน ซึ่งผมก็พยายามเลือกทางที่จะ “หากิน” กับคนที่มีเงินจ่าย มากกว่าการ “หากิน” กับความฝันที่มีราคาของคน โดยส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างพอใจในการเขียนบทความ Advertorial ที่มีคนจ่ายเป็นแบรนด์ต่างๆ และการเป็นวิทยากรรับงานบรรยายมากกว่าจัดสัมมนาเอง ซึ่งทางที่ผมเลือกเดินแบบนี้บางครั้งมันก็เหนื่อย แต่ผมคิดว่าชีวิตเฉื่อยๆของผมคงไม่ได้ต้องรีบร้อนอะไรมากนัก

 

สิ่งที่น่าตลกในยุคที่กูรูกำลังเบ่งบานแบบนี้ ผมมองเห็นการเปลี่ยนผ่านจากคนที่เคยด่าผม กลายเป็นคนที่ด่าสิ่งที่ผมเคยด่า และมันก็ตลกตรงที่ว่าสุดท้ายแล้วเราก็ด่ากันไปกันมาอย่างสนุกปาก เพื่อความสะใจ แต่ไม่ได้เปลี่ยนให้อะไรมันดีขึ้นมา

 

หลังๆ ผมพยายามหยุดด่าคนที่ผมไม่ชอบในสิ่งที่เขาทำ (แน่ละ ยังคงมีด่าบ่นและกวนตีนอยู่บ้าง ตามประสาสันดานที่เลิกไม่ได้) แต่สิ่งที่ผมทำได้คือ แบ่งเวลามาทำผลงานที่เป็นทางเลือกให้กับพวกเขา เพื่อที่อย่างน้อยจะมีคนเห็นสิ่งที่เราให้โดยที่ไม่ต้องจ่ายด้วยมูลค่าหรือราคาที่แพง

 

ยิ่งเราโตขึ้น ปัญหาของเรายิ่งใหญ่ขึ้น

 

บททดสอบของชีวิตคนนั้น เริ่มตั้งแต่เป็นเด็ก เราทุกคนคงเจอปัญหาตั้งแต่ไม่สามารถใส่ถุงเท้าเองได้ ไปจนถึงกลายเป็นคนที่เธอทิ้ง และสุดท้ายสิ่งเหล่านั้นมันจะบอกว่า “มึงยังต้องเจออะไรอีกมากมาย”

 

ชีวิตบางคนดูคล้ายกับละคร ในขณะที่บางคนดูคล้ายว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง แต่นั่นแหละ ยิ่งเราเติบโตมากขึ้นเท่าไร ปัญหาในชีวิตมันก็จะมากและหนักขึ้นเท่านั้น สิ่งที่เราทำได้มีอยู่ 3 อย่าง คือสู้กับมัน ยอมรับมัน และปล่อยมันไป

 

ผมเชื่อว่า สิ่งที่ตามมาหลังจากเกิดปัญหา คือ หัวใจที่แข็งแกร่ง และประสบการณ์ที่แข็งขัน ที่จะช่วยให้เราฟันฝ่าชีวิตที่หนักขึ้นมาได้อีกเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต

 

ความเข้มแข็งของคนเราแตกต่างกัน

 

ต่อจากเรื่องของปัญหาที่ใหญ่ขึ้น … หลายครั้งหลายคราวที่ได้ยินคำบ่นที่สรุปใจความได้ว่า “ปัญหาของเราหนักกว่าคนอื่น” ผ่านทางคำพูด การกระทำ ข้อความ บทสนทนา ซึ่งมันก็เป็นความจริงที่ว่า “มนุษย์เราสนใจเรื่องของตัวเองมากกว่าคนอื่น” (แน่ละ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นแบบนั้น)

 

ผมเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนอยู่กันและเรียนรู้ด้วยการแลกเปลี่ยน “ความรู้สึก” แก่กันและกัน ซึ่งมันแปลว่า สิ่งที่เราทำให้ใครคนหนึ่งที่เขามีปัญหาได้ คือ “รับฟัง” และ “เสนอแนะ” แต่ผู้ที่มีปัญหาคงต้องเลือกที่จะ “ฟัง” และ “ยอมรับ” ในสิ่งที่แตกต่างกับความคาดหวังของตัวเองด้วย

 

เมื่อเรามีปัญหา หลายครั้งเราคิดว่าคนที่เราให้ความสำคัญจะต้องมาช่วยแก้ไข แต่เอาแค่เข้าใจทฤษฏีที่ว่า “มนุษย์เราสนใจเรื่องของตัวเองมากกว่าคนอื่น” ก็คงเป็นสิ่งที่อยู่ในการพิจารณาลำดับแรกๆ ที่ต้องคิดอยู่ดีว่า “เราต้องแก้ปัญหาชีวิตเราด้วยตัวเอง”

 

เช่นเดียวกันกับผู้ที่หลุดพ้นปัญหานั้น มักจะมองเสมอว่า “ชีวิตกูยังหนักกว่ามึงเลย มึงจะอะไรนักหนากับเรื่องที่เกิดขึ้น” ในแง่มุมหนึ่งมันก็คงถูกต้อง แต่ “ความเข้มแข็งของมนุษย์” ที่แตกต่างกันนี่แหละ ทำให้มนุษย์แต่ละคนแบกรับมันไว้ได้ไม่เหมือนกัน และเราไม่มีสิทธิตีโพยตีพายบ่นออกมาหรอกว่า “ปัญหาของฉันนั้นหนักที่สุด” เพราะมันจะยิ่งตอกย้ำคำว่า “มนุษย์นั้นสนใจแต่เรื่องของตัวเอง” และมันน่าตลกตรงที่ว่ายิ่งเราคิดถึงปัญหาของเรามากแค่ไหน คนจะยิ่งไม่สนใจเรามากขึ้นเท่านั้น อาจจะเพราะเขาคิดว่า “แล้วมึงรู้ได้ไงล่ะว่าปัญหากูไม่หนัก?” กับ “กูก็เจอปัญหาไม่ต่างจากมึงหรอก แต่กูแค่ไม่แสดงออกเท่านั้น”

 

ถ้าหากวันนี้ชีวิตของเรามีปัญหา สิ่งที่เราควรทำ คือ แก้ไขด้วยตัวเองก่อน-อย่าคาดหวังให้ใครมาช่วย-อย่าเปรียบเทียบปัญหาของตัวเองกับคนอื่น และสุดท้ายคือ ปล่อยให้เวลามันจัดการปัญหาไปด้วยการทำใจยอมรับมะน

 

แต่ถ้าหากไม่ไหว ลองหาใครสักคนที่พอจะ “ฟัง” สิ่งที่เราอยาก “พูด” แล้วระบายมันออกมา โดยไม่ต้องแนะนำทางแก้ไขใดๆ แค่นั้นก็อาจจะพอแล้วที่ทำให้เรากลับมามีสติอีกครั้งหนึ่ง

 

กำลังใจเล็กๆน้อย คือ พลังที่ยิ่งใหญ่

 

โดยส่วนตัวผมไม่ใช่คนที่คิดบวกสักเท่าไร และก็ไม่ได้มองโลกตามความเป็นจริงเสียด้วย แต่ในช่วงที่แย่ที่สุดของชีวิต เราทุกคนล้วนต้องการกำลังใจเล็กๆน้อยๆที่ส่งผลให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ การตบบ่าให้กำลังใจเบาๆ แล้วกระซิบบอกว่า “สู้ๆ” ทั้งที่รู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้ มันอาจจะเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ใครหลายคนอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหลายวัน

 

ในช่วงที่เกิดปัญหาหนัก ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีที่สามารถเอาเรื่องเหล่านี้มาปลอบประโลมจิตใจได้ในระดับหนึ่ง ขอให้พื้นที่ตรงนี้ขอบคุณหลายๆคนที่ส่งต่อสิ่งเหล่านั้นมาให้ในวันที่แย่ๆของชีวิต (ทั้งที่พวกเขารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม) ตั้งแต่คำขอบคุณเล็กๆน้อยๆไปจนถึงคำปรึกษาราคาแพง ขอบคุณจริงๆครับ

 

การจากลาเป็นธรรมดาของมนุษย์

 

เกิดขึ้น – ตั้งอยู่ – ดับไป การจากลาเป็นธรรมดาของชีวิต ช่วงนี้เป็นอีกช่วงหนึ่งที่เพื่อนๆพี่ๆที่ทำงานได้เดินทางก้าวหน้าตามชีวิตและอาชีพ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี และแอบเศร้ากับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นเหมือนเช่นเคย

 

ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นช่วงเดียวกันที่ใครบางคนเลือกที่จะทิ้งมิตรภาพดีๆ ที่มีกับผมไปเช่นเดียวกัน ซึ่งผมก็ทำได้แค่ “ยิ้มรับ” และหวังว่าเวลาคงจะช่วยเยียวยาทุกอย่างให้ชีวิตของเขาดีขึ้น

 

สุดท้ายแล้วสิ่งที่ผมเขียนขึ้นมานี้ มันก็เป็นเหมือนกับประสบการณ์ที่ผ่านมา ความเศร้า ความเหนื่อย ความท้อแท้ และความพยายามที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนนี้ เรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์หนักหนาที่ผมไม่เคยเจอมาตลอดทั้งชีวิต และวันนี้ผมบันทึกไว้เพื่อบอกกับตัวเองว่า

 

เรากำลังเดินทางไปสู่ปัญหา

ปัญหาที่มีความหนักหนาขึ้น

ปัญหาที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

ปัญหาที่ทำให้ขีวิตยากขึ้น

 

แต่เชื่อเถอะว่า

เราจะผ่านมันไปได้อีกครั้ง

เหมือนกับที่มันเกิดขึ้นในวันนี้ :)